จากบทสนทนาระหว่างการเดินทางกลับจากเชียงใหม่ ผมและน้องคนหนึ่งเราก็สนทนากันโดยไม่ได้หยุดพักกันเลยตลอดเส้นทาง จากที่เริ่มด้วยฟิสิกส์แบบ Classic มาเป็น ควันตัม และก่อนปิดด้วยจิตวิทยา ทำให้สะดุดว่าเราเก็บรายละเอียดจากหนังสือมาเล่าได้ไม่เพียงพอ เพราะเล่าได้ไม่ค่อยถึงสิ่งที่หนังสือสื่อนัก จึงต้องย้อนกลับไปอ่านและทำสรุปออกมาเพื่อทำความเข้าใจกับตัวเอง
หนังสือเรื่องจิตวิทยาการโกง หนังสือนี้ไม่ได้สอนว่าเราจะโกงอย่างไร หรือเราจะถูกโกงได้อย่างไร แต่เนื้อหาครึ่งแรกที่ผมอ่าน เล่าถึงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพยายามฉกฉวยบางอย่างหากมีโอกาสและความจำเป็น สิ่งต่างที่เราสร้างมาไม่สามารถป้องกันได้ เราเพียงแต่ต้องเรียนรู้แล้วรับมือกับมันเท่านั้น โดยเนื้อหาในเล่มผมจะทยอยเล่าเป็นตอน ๆ ออกมา
“ คนส่วนใหญ่มักจะฉกฉวยเมื่อมีโอกาส คนส่วนมากต้องการการควบคุมบางอย่างเพื่อให้เข้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง “ แดน ไวส์
"การถูกจับได้ว่าโกงไม่เหมือนกับการถูกลงโทษในข้อหาคดโกงนะ" เจฟส์ ไครส์เลอร์
คนเรามักจะสร้างเงื่อนไขยอมรับการโกงของตัวเองออกมา บางอย่างคนอื่นโกงไม่ได้เลย แต่พอเป็นเราทำก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะคนนั้นก็ทำ คนนี้ก็ทำกัน การถูกจับได้ เป็นเหมือนเราแพ้ในเกมบางอย่างไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนไม่ดี ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นการคิดที่ผิด
ถ้าผลประโยชน์มากขึ้นกลับไม่พบการโกงที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน แถมยังลดลงเล็กน้อยเมื่อเงินรางวัลแตะระดับสูงสุดอีกต่างหาก
ทำให้เรารู้ว่าไม่ว่ารางวัลจะเล็กหรือว่าใหญ่ การโกงมีค่าพอๆกัน แต่การทดลองนี้เป็นการทดลองระดับพื้นฐานนะครับ ถ้าเกิดคิดว่าการโกงชาติ หรือสินบนต่างๆระดับการโกงคงเป็นคนละเรื่องกัน
ความเสียงที่จะถูกจับได้ เช่น จากกล้องวงจรปิด การทำลายหลักฐานบางส่วน หรือ ผู้คุมที่เห็นได้ชัดว่าบกพร่อง ไม่มีอิทธิพลต่อระดับความคดโกงมากนัก
ความกังวลว่าจะถูกเพ่งเล็งไม่ส่งผลต่อการโกง แต่สำนึกด้านศีลธรรมเราจะเชื่อมโยงกับระดับความคดโกงที่เรารู้สึกสบายใจกว่า นั้นคือ โกงไม่เกินระดับที่เรายังสามารถมองตัวเองว่าเป็นคนซื่อสัตย์พอสมควรได้
ทฤษฏีที่ว่าคนเราอยากรู้สึกว่าตัวเองซื่อสัตย์และมีเกียรติ เพื่อที่เวลาส่องกระจกเราจะได้รู้สึกดีกับตัวเอง (แรงจูงใจทางศักดิ์ศรี) แต่ในอีกขั้วหนึ่งเราก็ต้องการตักตวงผลประโยชน์จากการโกงให้มากที่สุด(แรงจูงใจทางการเงิน) ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเหมือนขั้วที่สามารถดึงเราไปในแนวทางใดๆก็ได้ ความพยายามนี้เป็นความพยายามสร้างสมดุลเพื่อคิดหาเหตุผลให้กับการกระทำ ซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดที่ว่า “ระดับความโกงที่ยอมรับได้ "Fudge Factor Theory"
เช่นการสรรหาวิธีลดหย่อนภาษี การมั่วนิ่มกินอาหารแล้วเบิกเงินจากบริษัทโดยอ้างว่าเลี้ยงรับรองลูกค้า เป็นต้น
Tags:
BLOG