หลังจากได้ดูหนังเรื่อง Arrival นี้แล้วก็เกิดแรงบันดาลใจหลายๆอย่างเลยทีเดียว แต่อย่างนึงที่ทำก่อนก็คือการเขียนบันทึกลง Blog นี้
ภาษาและการสื่อสาร
Arrival ไม่ใช่หนัง Aliens ที่มีการต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งตามสูตรของหนังทำเงิน Hollywood เราไม่ได้เห็นอาวุธเข้ามาห้ำหั้นกัน แต่เราเห็นการพยายามที่จะสื่อสาร แล้วทำความเข้าใจกับความแตกต่าง และผู้มาเยือนภาษาเป็นรากฐานของการเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์ ในขณะที่ทำตัวเป็นเหมือนกาวที่ช่วยเชื่อมต่อ แต่ก็สามารถเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งได้
"Language is the foundation of civilization. It is the glue that holds a people together and it is the first weapon to draw in a conflict"
เพราะภาษาไม่ใช่สูตรคณิตศาสตร์ ที่มีหลักตายตัว ภาษาคือการเปรียบเทียบ และการตีความ
The Sanskrit word for "war" (Gavisti (गविष्टि)) and its translation = "A desire for more cows"
ประโยคด้านบนมาจากในหนัง ให้ความหมายเป็นนับยะถึงสองความหมาย อย่างแรกคือการการแปลความหมายของภาษาที่ไม่ได้ตรงตัว และอย่างที่สองคือ "สงคราม" เกิดจากความต้องการในของบางอย่าง(ในที่นี้คือวัว)มากกว่าอีกฝ่ายหนึง ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และนำไปสู่แย่งชิง
เพราะในลึกๆของมนุษย์กลัวความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ ภาษา หรือแม้แต่วัฒนธรรม มนุษย์ในหนังเองก็มีความกลัวอยู่ลึกๆ สำหรับการมาเยือนของผู้มาเยือนจากนอกโลกนี้ การนำผู้เชียวชาญด้านภาษาเข้ามาในหนังเพียงแต่มุ่งไปสู่คำถามเดียวว่า
"What is your purpose on Earth?" "มาที่โลกที่ทำไม?"
เพียงเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า ฉัน(มนุษย์)ได้รับสิทธ์อย่างชอบธรรมที่จะหยิบอาวุธ (Weapons) ต้องสู้เพื่อปกป้องตัวเอง และขับไล่สิ่งแปลกใหม่ออกไปจากโลก หรือเขตแดน
ตามประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในมุมมองของนักค้นพบหรือพูดให้ตรงแบบไม่เป็นภาษาประวัติศาตร์ก็คือ "ผู้รุกราน (Invaders)"ก็คือ "การค้นหา" และ "แลกเปลี่ยน" ของมีค่า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ แรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ หลายครั้งก็เป็นชนวนซึ่งนำไปสู่การรบรา และการห้ำหั่น กับผู้อยู่อาศัยเดิมในท้องที่ (Natives)
ผู้มาเยือน (Arrival) ตามท้องเรื่อง มาให้รูปแบบที่แตกต่างออกไป ทั้งหมดเป็นเรืองของการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือ
We help humanity. In three thousand years... we need humanity's help
เราช่วยมนุษย์ เพื่อที่ว่าอีก 3000 ปีข้างหน้า เราจะต้องการความช่วยเหลือชองมนุษย์
เพียงแต่ว่า มนุษย์เองยังไม่มีความเป็นเอกภาพ (Unity) จากที่จีนตามในเรื่องเป็นหัวเรือในการใช้อาวุธเพื่อเข้าสู้รบ จากความเข้าใจผิดในการแปลภาษาต่างดาว
ความช่วยเหลือของผู้มาเยือนนี้ก็คือ การปลุก และทำให้นางเอกของเรื่อง Louise รู้ถึงความสามารถในการมองเห็นอนาคตของตัวเอง และเป็นผู้หยุดเริ่มต้นความเอกภาพของโลก โดยการโทรไปหา general ของจีน เพื่อหยุดการโจมตีเข้าใส่ผู้มาเยือน
หนังใส่สัญลักษณ์ของการยังไม่จบ "การสื่อสาร" ผ่านการลอยตัวของยาน ห่างออกจากพื้นผิวโลกระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับหนีถอยออกไปจน ไม่รุก และไม่รับ จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดหมดสิ้น
ความน่าสนใจของหนีงอยู่ที่ ลำดับเรื่องราวที่มีการผสมผสานทั้ง จากหน้าไปหลัง และหลังไปหน้าและหลอกคนดูให้คล้อยได้อย่างแยบยล โดยมี Keyword บอกเป็นระยะๆ อย่างเช่น ต้นเรื่องที่บอกว่า
"But now I'm not so sure I believe in beginning and ending"
Time and Space
สิ่งที่สะเทือนใจอย่างหนึ่งของหนังก็คือ การมองเห็นอนาคต นำมาซึ่งความเจ็บปวด Louise ต้องหย่าร้างกับ Ian (ผู้ซึ่งจะเป็นสามีในอนาคต) เพียงเพราะว่า เธอรู้อนาคตว่าถ้าทั้งสองตัดสินใจมีลูกและในท้ายสุดลูกสาวที่รักมากจะต้องตายโดนโรคที่ไม่มีทางรักษาได้ ถึงขนาด Ian บอก Louise ว่า
"You made the wrong choice"
เพราะการตัดสินใจของเธอสร้างความเจ็บปวดให้ Ian
ทำไมถึงตั้งชื่อหนูว่า "Hannah"ลูกสาวของ Louise ถาม
เพราะชื่อนี้ ไม่ว่าจะอ่านไปจากหน้าไปหลัง หรือว่าหลังไปหน้า
(ปัจจุบันไปสู่อนาคต หรืออนาคตมาสู่ปัจจุบัน)
ก็ไม่มียังคงอ่านออกเสียงแบบเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือว่าแก้ไขได้ และมีความเป็นสากลจักรวาลมากขึ้น
Despite knowing the journey and where it leads, I embrace it, and I welcome every moment of it
ถ้าคุณต้องใช้ชีวิตโดยรู้อนาคตอยู่แก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการจากไปของคนที่คุณรัก คุณจะเปลี่ยนมันไหม?
"If you could see your whole life from the start to finish, would you change things"
คำถามที่ทำให้ เธอ, Ian และชีวิตครอบครัวต้องเจ็บปวดไปกับการสูญเสียตลอดการ
ช่วง 5 นาทีสุดท้ายของหนังเป็นช่วงที่กดดันและเจ็บปวดสุดแล้ว
"You wanna make a baby?"
Tags:
Movie