แนวความคิดเลือก Head Unit หรือเครื่องเสียงติดรถยนตร์ใน 2024



ผ่านไป เกือบ 10 ปี Head unit หรือวิทยุรถยนตร์เดิมยี่ห้อ Pioneer ก็เริ่มออกอาการ มันเคยซ่อมแล้วเมื่อหลายปีก่อนหมดไปหลายพันเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ไม่อยากจะเสียหลายพันแล้วได้เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าคุณภาพเสียงจะยังโอเค แต่เทคโนโลยีมันเริ่มขยับไปอีก Step แล้ว จึงอยากจะอัพเกรดไปเลย

จากการที่ว่าไม่มีความรู้อะไรเลย เพราะว่าคราวที่แล้วที่ติดชุดใหญ่ไปก็หมดเงินไปมากอยู่ แต่คุณภาพเสียงก็อลังการณ์ แต่มันไม่ทน ผมไม่รู้เพราะว่าตอนนั้นผมดูแลไม่ดี หรือช่างติดตั้งไม่ดี หรือคุณภาพอุปกรณ์มันแย่ก็ไม่รู้ ผมบอกตรงๆว่ามีประสบการณ์ไม่ดีกับร้านแนวเครื่องเสียง หรือแต่งรถยนตร์เยอะมาก และนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น จึงตั้งใจตอนแรกว่าจะซื้อแล้วหาช่างไว้ใจติดให้ 



การเปรียบเทียบ

มีการดูเปรียบเทียบเยอะเหมือนกัน เพราะตัวค่ายแต่ละค่ายเองไม่ได้ Positioning สินค้าไปเปรียบเทียบได้ขนาดนั้น ทำให้ต้องกลับมาถามว่า จริงๆแล้วเราต้องการอะไร แน่นอนถ้าเงินไม่ใข่ปัญหา การซื้อตัวแพงไปเลยย่อมจบกว่า แล้วก็ดีกว่า แต่ผมก็ไม่อยากจะใช้เงินขนาดนั้น เลยกลับมาเรืองของการตั้ง Budget ก่อน

Budget ไม่เกิน 14,000 นั้นทำให้ตัดตัวเลือกอื่นๆไป 3-4 ตัวเลย ถึงแม้ว่าผมจะแคร์เรื่องคุณภาพเสียงมากแค่ไหนก็ตาม แต่ option เหล่านั้นมักจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่จบ เพราะว่าคุณมี Front ที่ดี คุณจะไม่หาลำโพง แอมป์ สายสัญญาณ หรือซัพดีๆเลยเหรอ นั้นเลยทำให้ผมจำต้องตัดพวกราคาโหดออกไป

ต่อมา Feature แน่นอนมันต้องมี Apple Car lay หรือ Android Auto เพียงแต่ว่าแบบมีสายหรือไร้สายดี แบบไร้สายอาจจะสะดวก แต่ผมมีติดสองสามเรื่อง คือความเป็นส่วนตัวมันอาจจะลดลง เช่นโทรศัพท์มันจะต่อกับ Front รถยนตร์อัตโนมัติ ข้อมูลก็อาจจะขึ้นมาบนจอทันที แต่มันก็แก้ไขได้โดยการตั้งค่า ผมไม่ต้องการเลยหันไปมองแบบมีสาย อีกเรื่องคือการต่อเพื่อเล่นเพลงแบบมีสายจะคุณภาพเสียงดีกว่าหากคุณมี source ที่ดี ผมใช้ Apple music แบบรายเดือนคุณภาพก็พอใช้ได้จึงมองว่าแบบมีสายบวกหนึ่งคะแนน สุดท้ายการชาจน์ แบบไม่มีสายคุณก็ต้องมามองหา option ในการชาจน์อยู่ดี การต่อแบบมีสายก็คงไม่ต่างกัน การต่อแบบไร้สายในปัจจุบันค่อนข้างมีปัญหา เนื่องจากรถยนตร์มีความสั่นสะเทือนทำให้มันอาจจะไม่ตรงกับตำแหน่งที่เหมาะได้ อีกอย่างก็เรื่องความร้อนและความสามารถในการชาจน์ ซึ่งผมต้องไปตามคิดและแก้ปัญหาต่อ ผมเลยว่าต่อสายนี่หล่ะน่าจะเหมาะที่สุด มันทำให้ผมลด option ต่อไปได้อีก

ในหมวด Feature ยังมีเรื่องของการ share screen หรือเปิด media อื่นๆ แต่ผมไม่มีความจำเป็นเท่าไร แม้บางก็อยากจะเปิด Netflix, Youtube ดูตอนรถติดๆก็ตาม แต่จอที่ผมมองหาคือ 7 นิ้ว ในขณะที่โทรศัพท์ปัจจุบันผม 6.8" ผมก็เลยคิดว่าถ้าอยากดูจริงๆ ก็แค่เปิดกับมือถือแล้วใช้ที่ติดมือถือกับรถที่มีอยู่แล้วก็ได้นี่นา ส่วนเรื่อง feature ระบบเสียงคิดว่าแต่ละค่ายน่าจะเหมือนๆกัน เพราะว่าหารีวิวที่เหมาะไม่ได้ และไม่อยากจะไปฟังที่ละค่ายหน้าร้านด้วยตัวเอง กำลังขับ (Watts) ก็พอๆกันไม่ต่างกันมาก ความสามารถในการชาจน์ก็ประมาณ  1.5A เท่าๆกัน

ปุ่ม อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะผมไม่มีปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย เวลาเพิ่มลดเสียงต้องทำที่ Front เท่านั้น ตัดรีโมทไปได้เลย ของ Pioneerเก่า ก็นอนเป็นผักอยู่ เพราะว่ามันไม่สะดวก เครื่องเสียงสาวนใหญ่น่าจะออกแบบมาจากทางตะวันตก เช่นเมกา ที่ขนขับนั่งอยู่ด้านซ้าย ทำไปปุ่มมันไปอยู่ฝั่งนั้นและเราผู้ขับด้านขวาต้องเอื้อมไกล ถึงแม้ว่า Apple Carplay จะปรับซ้ายขวาได้ แต่ปุ่มทืเป็นปุ่มจริงๆมันย้ายไม่ได้ไง ดังนั้นต้องคิดถึงจุดนี้ด้วย

ท้ายสุดการปรับสีไฟและสีพื้นหลังจอ อันนี้เป็นความอยากโง่ๆส่วนตัว เพราะว่าผมแต่งรถสีแดงภายในดำแดงก็อยากได้การปรับไฟให้เป็นสีแดงตามด้วย



 
ผมใช้ Notion ในการวางแผนตัดสินและคัดกรองตัวเลือก ใครสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน ผมยินดีรับสอนให้ทักมาใน Commet หรือส่งเมลมาถามก็ได้ครับ





ตอนแรกผมว่าจะรอโปรในพวก Online marketplace แต่สุดท้ายเห็นมีร้านที่เคยได้ยินตั้งแต่เด็กแถวบ้าน เลยขับไปลองดู เจอป้ายยาจากน้องที่เป็นคนขายที่สุภาพ เถ้าแก่ที่มารวมป้ายยา ก็เลยจัดจากร้านเลย ตอนแรกมีการเทียบกับสองตัวคือ Kenwood DMX5020S กับ Pioneer DMH-A5450BT ส่วนตัวยึดติดกับ Pioneer มากกว่า แต่ด้วยเรื่องราคาที่โดดออกมา และ feature ที่เพิ่มมาไม่เหมาะกับผม เช่น Weblink ที่ผมทลองแล้วมันห่วยมากๆ ใช้ไม่ได้จริง ดูจากโทรศัพท์จะดีกว่า อีกอันก็คือ Wireless Apple Carplay ตามที่ผมเล่าเลย หลังจากไปลองเล่นอยู่ราว 20 นาทีก็ติดตั้งมาเสร็จสมบูรณ์



ไมได่เล่าให้ฟังแต่แรก แต่ผมเตรียมลำโพง Hertz ไปเปลี่ยนด้วยซึ่งเป็นตัวเริ่มต้นไม่หวือหวาอะไร


ความรู้สึกหลังการใช้งาน

การใช้งานดีเพราะว่ามี Map ที่เปิดได้เลยไม่ต้องมาตั้งโทรศัพท์อีกอันให้ยุ่งยาก นั้นเป็นข้อดีเดียวเลยที่เจอ 5555

สิ่งที่ไม่ชอบ แน่นอนเราต้องมาตั้งค่าเยอะแยะ หลายคนบอกว่าทำไมต้องทำ คือผมเป็นพวกค้นหาว่ามันทำอะไรได้บ้าง และการที่ซื้อ Kenwood เพราะว่ามันปรับค่าเสียงต่างได้ดีกว่า Pioneer เช่น Crossover หรืออื่นๆ ผมก็ลองเล่นและทำความคุ้นเคยกับมัน 

ปุ่มจริง ทั้งสองค่ายอยู่ด้านซ้ายหมด แต่ที่แย่กว่าคือ Kenwood เป็นสัมผัสบนจอเรียบๆ ทำให้เรากะไม่ถูกต้องหันมามอง ถ้าเป็นของเก่าผมเป็นปุ่มจริงๆด้านล่าง มันใช้สะดวกกว่าเพราะไม่ต้องละสายตาจากถนน

แสงและความแม่นยำของสี บอกได้เลย ห่วย สีเพี่ยนแสงก็จ้าเกินหรือมืดเกิน เทคโนโลยีที่ใช้กับจอไม่ดีเท่ากับมือถือ แต่ก็ดีกว่าจอเก่าผมเยอะในแง่ความคม แต่จอเก่าสีตรงกว่านะ

เสียงไม่ดีอย่างที่คิด ผมว่าอาจจะต้องปรับรอเวลาหรือปล่าว หรือไม่ลำโพง Hertz ที่ผมใช้มันห่วยกว่าลำโพง  no name ที่ผมเปลี่ยนออกเหรอ ต้องดูไปเรื่อยๆครับ ผมอาจจะทำอะไรไม่ถูก แต่มันก็ควรดีมาตั้งแต่แกะกล่องหรือปล่าว

มีคนแชร์เรื่องการเปลี่ยน boot screen หรือเปลี่ยน logo Kenwood เป็นอย่างอื่นแทนตอนเปิดเครื่อง ผมลองแล้วมันไม่ได้ แต่เดี่ยวหาข้อมูลต่อ

เสียงเพลงจาก Bluetooth จะเบามากๆๆๆ แต่ถ้าเสียบสายจะดังปกติ ซึ่งมันควรจะใกล้เคียวกัน ถึงแม้ว่าเครื่องจะปรับระดับเสียงจากแต่ละ Source ได้ แต่มันไม่พอครับ เพราะว่ามันเบามากจริงๆ

ไมค์ ไม่รู้ว่าทำไมช่างไม่มาถาม เค้าเปลี่ยนตำแหน่งไมค์เดิมจากตรงเสา A ไปหลังพวงมาลัย โอเคที่สายมันจะไม่ต้องเดินไกล แต่ว่ามันก็ไม่ได้ออกมาเกะกะตาตั้งแต่แรกแล้ว การเอาไมค์ไปติดหลังพวงมาลัยซึ่งใกล้พื้นและระบบช่วงล่างมากกว่าทำให้มันไปเอาเสียงสั่นสะเทือน เสียงยาง เสียงอื่นๆเข้ามาในขณะสนทนาด้วย จริงๆเป็นช่างน่าจะรู้ดีกว่าเรานะ แต่ก็ใช้ไปก่อนครับ เพราะว่าผมก็ไม่อยากให้ใครโทรมาคุยงานตอนขับรถสักเท่าไร

ค่าต่างๆร้านไม่ได้ตั้งมาให้ เป็น default เกือบหมด น้องคนขายมีแค่ตั้งพวกเส้น Guide ในกล้องตอนถอยหลังเท่านั้น ที่เหลือคือไม่ทำเลย ก็งงว่าจริงๆเค้าเป็นร้านเครื่องเสียงนะ การ setup พวกนี้น่าจะเป็นหัวใจของงานเค้าเลยหรือปล่าว แต่ก็ไม่ใช่แค่ร้านเดียว หรือผมต้องจ่ายเพื่อตั้งค่าอีกนะ

แต่ต้องบอกว่าร้านนี้ติดตั้งดีครับ ลำโพงคิดค่าติดตั้ง 2 ตัว ตัวละ 500 ไม่ต้องเดินสายไฟใหม่ เพราะสายเดิมมีอยู่แล้วแค่ถอดเปลี่ยน แต่เค้าก็เอาแผ่นแดมป์มารองหลังลำโพงเพื่อซับแรงกระแทกให้ทำให้เวลาเปิดเพลงที่มีเสียงเบส พลาสติกตรงแผงประตูไม่กระพรือเสียงดังน่ารำคาญ

ถามว่าอยากเอาไปเปลี่ยนไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะว่าราคามันไม่สูง (ต้องบอกว่าสูงเกินไป ถ้าเทียบกับเทคโนโลยีล้าหลังที่ได้เทียบกับราคา) ต้องบอกว่าการแข่งขันมันไม่เดือนเท่า IT ดังนั้น Innovation มันก็ไม่มี 


อันนี้ความเห็นส่วนตัวจากคนสายเทค แรงนิดนึง

เทคโนโลยีนี้พัฒนาช้ามาก ถ้าคุณมองระบบเสียงที่อยู่รอบตัวเรามันไปถึงไหนและ ดูอย่างมือถือ หรือจอ Android สิ Spatial Audio หรือ Dolby Atmos มันควรจะเข้ามาได้แล้ว ลำโพงรุ่นใหม่ๆ มีการคำนวน space รอบๆและคำนวนปรับค่าเสียงให้เหมาะสม ในขณะที่ลำโพงหรือ Front รถยนตร์ทำไม่ได้ หรือไม่ยอมทำ ทั้งๆที่ space คุมง่ายกว่าด้วยซ้ำ เคยได้ยินว่าลำโพงรถกับบ้านต่างกัน เพราะว่ารถต้องออกแบบเรื่องการรับการสั่นสะเทือนด้วย แต่ผมว่านี่มันยุคไหนแล้ว ออกมาจาก Comfort Zone ได้เลย



ลำโพงคอม 1-2 พันตอนนี้เล่นเสียงได้ดีกว่าลำโพงราคาเดียวกันเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ  รวมถึงไมค์มีมี AI ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ด้วยราคาที่เอื้อมถึงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเลยไม่เชื่อข้ออ้างเขา

ตอนนี้ก็เริ่มเห็นรถไฟฟ้าหลายๆเจ้าเริ่มใส่เทคโนโลยีเข้าไปรถรวมถึงระบบ sound and entertainment แล้ว ผมว่ามันจะไป disrupt วงการเครื่องเสียงรถยนต์ที่สบายมาหลายสิบปีสักที



Post a Comment

You can share any idea here.......

Previous Post Next Post

Contact Form