เวียดนาม ตอนที่ 2


อาหารมื้อแรก

           โต๊ะที่ร้านอาหารข้างถนนนี่ยังกะโต๊ะเด็กอนุบาล เพราะมันเตี้ยมากๆ เรานั่งกันแทบจะเหมือนนั่งยองๆกิน แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่านั่งไม่สบาย ผมยังคิดเลยว่า สาวๆใส่กระโปรงมาคงนั่งกินไม่สบายอารมณ์แน่ๆ ด้านหน้าร้านมีการปิ้งหมูกันเห็นๆ มาที่นี่ไม่รู้จะสั่งอะไรหรือไม่รู้จักอะไร สิ่งที่ผมเอาตัวรอดคือ สั่งตามคนที่พามา ซึ่งปรากฏว่าทุกคนทำตามหมด บนโต๊ะมีเหยือกน้ำสีชากาใหญ่ประมาณนึงอยู่ พร้อมแก้วและน้ำแข็ง เราเกือบพลาดเอามาเทลงแก้วแล้ว เพราะจริงๆแล้วสิ่งนั่นไม่ได้เป็น "น้ำชา" แต่เป็นน้ำจิ้มต่างหาก






อาหารที่ผมได้เห็นโดยไม่ได้เลือกคือข้าวหมูและซี่โครงย่าง รสชาติยังกะกินสุกิชิ ตัวน้ำจิ้มนั้นช่วยเสริมรสชาติได้ดีจริงๆ ผมเหลือบไปเห็นขวดซอสหน้าตาเหมือน "ซอสศรีราชา" ทำเกิดประเด็นว่า ทำไม? ได้อย่างไร? รสชาติก็ใกล้เคียงกัน และด้วยความสัตย์จริง มันอร่อยกว่าของบ้านเราหว่ะ


           ค่าอาการมื้อแรก สำหรับ 6 คน ทั้งหมด 677,000 คิดเป็นเงินไทย 600 บาทก็คนละเกือบร้อย ถือว่าที่นี่ค่าครองชีพไม่ต่างกับบ้านเราเลย นี่คือราคาระดับกลางและข้างทางนะ

           น้องที่นี่บอกผมไว้ว่า แท็กซี่ที่นี่หลายที่ไว้ใจไม่ได้เหมือนบ้านเรา เพราะบางทีก็ชอบเหมา ไม่ยอมกดมิเตอร์ หรือขับรถพาอ้อม บ.ที่ไว้ใจได้มีแค่เหมยลิน กับอะไรสักอย่างเท่านั่น
            เราพยายามจะหาที่พักธรรมดาในเมืองแค่มี Internet ไว้ติดต่อกับไทย ส่งงาน หรือว่ากระทั่งหาข้อมูลเที่ยวเพิ่มเติมในแต่ละวัน เราเดินไปเดินมาสองที่ซึ่งเป็นเครือกันก็ได้มาในราคา 1,000 บาทต่อคืน ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าโรงแรมนี้ตั้งอยู่ในจุดที่ดีมากๆ ภายหลังได้เดินไปมาทำให้รู้ว่าที่นี่มีเกือบครบทุกอย่างเลย ไม่่ว่าจะร้านขาย โอนิสึกะ(ขโมยมา) ร้านอาการ ผับ แบบถูก แพง สวนสาธารณะ และสถานที่สำคัญต่างๆ หรือทั้งหมดนี้อาจจะเพราะเมืองค่อนข้างแคบ และกระจุกตัวอยู่ก็เป็นได้

           ที่นี่ควรจะแลกเงินเป็นเงิน VND. เป็นระยะๆ ไม่ควรแลกเยอะแล้วเหลือกับเนื่องจากการซื้อกลับเป็นเงิน USD. หรือ THB. ค่าเงินจะล่วงและตกลงไปถึงกว่า 30% น้องที่นี่เสนอว่าถ้าเกิดมันเหลือจริงๆก็เอามาให้เค้าได้เค้าจะโอนเงินบาทกลับไปให้เอง แต่เราก็ประมาณการณ์ว่าอย่างมากเราใช้คงจะไม่เกินวันละ 5,000 บาท และที่แลกเงินเราใกล้โรงแรมมากแค่เดินลัดตลาดไปเท่านั่น เราจึงตัดสินใจแลกวันต่อวัน

           ที่แถบชานเมืองซึ่งนั่งรถออกไปจากตัวเมืองโฮจิมินทร์หลายชั่วโมง จริงๆแล้วระยะทางอาจไม่ได้ไกลเท่าไร แต่ด้วยความเร็วที่ถูกจำกัดได้เหลือเพียงแค่ 60 กม./ชม. ทำให้เวลามากกว่าสองเท่าของเมืองไทยไปทันที 
ในเมืองคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่สัญจรด้วยรถจักรยานยนตร์มากมาย แรกไปเราอาจจะรู้สึกว่าการเดินทางบนท้องถนนเป็นเรืองเสี่ยงตายเอามากๆ ยิ่งกว่านั้นการเดินข้ามถนนผมถือว่าเหมือนการฆ่าตัวตายชัดๆ โดยการขับที่ตรงกันข้ามกับบ้านเรา การข้ามถนนจึงยากกว่าเดิมเพราะเราต้องมองซ้ายก่อนแล้วจึงค่อยมองไปทางขวา ซึ่งอาจจะฝืนความรู้สึกกับการที่เราข้ามถนนบ้านเรามากๆ ผมกับเพื่อนก็เกือบพลาดลืมมองจนเกือบโดนรถชนหลายครั้งแล้ว ยิ่งไปกว่านั่นมันมี รถย้อนศรมาสร้างความมึนงงให้กับเราอีก การข้ามถนนที่นี่ต้องอาศัยจิตใจที่นิ่งไม่หยุดไม่เดินถอยหลัง เพราะรถทุกคันเหมือนจะอ่านทิศทางการเดินเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ขับผ่านคุณไป ถ้าคุณยึกยักเขาอ่านเกมผิด คุณจะพลาดโดนชนเอา

           วิวบนรถยนตร์มองมาเห็นฝูงรถมอเตอรไซค์จำนวนมากเป็นที่น่าสนใจในตอนแรก 2 ชั่วโมงผ่านไปทำให้ผมต้องลดกล้องลงและเริ่มเข้าสู่โหมดของการนอนหลับ เนื่องจากก่อนเดินทางผมได้นอนพักไปเพียงนิดเดียวตามแบบฉบับคนบ้างาน


           บนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น อากาศแสนจะร้อนไกลจากตัวเมืองเกือบ 2 ชม. ร้านกาแฟนที่หน้าตาคล้ายกันวางตัวเป็นระยะๆ กาแฟที่นี่แก้วละ 10,100 VND. หรือ 165บาท เนื่องด้วยน้องสั่งเป็นแต่กาแฟไม่ใส่นม ผมจึงได้กินกาแฟที่แสนขมมากๆ ซึ่งโดยปกติ ผมก็ไม่ค่อยใส่ผมที่กาแฟ แต่ที่นี่ค่อนข้างขมเกิน default มันก็ใส่นมอยู่แล้วผมก็เกิดสงสัยว่าถ้าสั่งแบบธรรมดามันก็น่าจะกินได้ไม่ใช่เหรอ เรามาสังเกตการณ์อะไรหลายๆอย่างทำให้การกินกาแฟที่นี่ผมหรือแตกต่างกันกับกาแฟที่ผ่านเข้ามาในชีวิติอย่างสิ้นเชิง พูดถึงเครื่องดื่มก็ต้องมี "เบียร์" ผมถามถึงเบียร์ Local (เบียร์ฮานอย ราคา 12 บาท) ที่เราต้องกินให้ได้ น้องที่นี่บอกว่า "อย่าลองเลย เพราะขนาดคนที่นี่ยังไม่กินกันเลย" รสชาติมันคงจะแย่มากๆ ที่นี่ที่เค้ากินก็เบียร์ Sapporo, Tiger, Singha เท่านั้น


Post a Comment

You can share any idea here.......

Previous Post Next Post

Contact Form