ผมเกิดความสงสัยว่าเวลาฝรั่งมาเมืองไทย มองสาวไทยเหมือนอย่างที่เรากำลังมองสาวเวียดนามอยู่ตอนนี้หรือปล่าว หรือเป็นไปได้ที่เค้าจะคิดมากกว่าที่เรากำลังคิดกัน พื้นฐานผู้ชายผมว่าไม่ว่าชาติไหนก็ต้องมองสาวหล่ะ
หลังจากที่เราผ่านเมืองที่คราคร่ำไปด้วยฝูงจักรยานและจักรยานยนตร์ได้แล้ว ฉากที่ดราม่าก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ฝนตกลงมาอย่างหนัก (จากข่าวที่ทราบมาภายหลังว่าที่เมืองไทยก็ตกหนักเอาการ ทำให้หลายๆ จุดในกรุงเทพน้ำท่วมไปด้วย) ตอนนี้เรากำลังจะหาข้าวเย็นกัน จากการพูดคุยในรถ เราจะเปลี่ยนจากอาหารเวียดนามมาเป็นอาหารญี่ปุ่นกัน น้องบอกว่าอาหารที่ร้านนี่อร่อยสู้ร้านฟูจิบ้านเราไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไร ที่ผมกลัวคือราคามากกว่า เพราะอาหาร Local ยังราคาสูง แล้วอาหารที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบราคาจะเป็นอย่างไร ร้านแบ่งออกเป็น สองโซน ด้านหน้าจะเป็น open air ส่วนด้านในก็ไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศอะไรเพียงแต่ฝนตกแล้วไม่เปียกเพราะมีหลังคาไว้ อาหารที่นี่ราคาไม่แพงอย่างที่ผมกลัว ประมาณร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปตามห้างบ้านเรา ไม่ได้แรงเหมือนสุขุมวิท แต่ก็อาจแลกมาด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ซึ่งนั่นเป็นหัวใจของอาหารญี่ปุ่นเลยไม่ใช่เหรอ ที่ร้านอาหารแห่งนี้ผมเจอซอสพริกที่เหมือนศรีราชาอีกแล้ว เจ้าซอสที่ว่านี่ผมมาฟังรายการ CEO vision ของคลื่น 96.5 ก็ได้รู้ว่า เราเสียผลประโยชน์ในเรื่องนี้ให้เวียดนามไป จากข้อมูลที่ผมได้จากวิทยุคือ มีคนเอาสูตรไปทำที่นั่น และมีชื่อเสียงจนต่างชาติเข้าใจว่า ซอสศรีราชา คือซอสของเวียดนาม และมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งของเวียดนาม - ข้อมูลนี้ทำเอาผมเศร้ามากๆ และที่น่าเศร้า คือมันอร่อยกว่าของเราในทัศนะของผม
ระหว่างทาง ต้นไม้ข้างทางใหญ่กว่าบ้านเรา และหลายๆเส้นดูร่มรื่นมาก ที่น่าสังเกตคือแต่ละต้นมีตัวเลขสีขาวเขียนติดไว้ด้วย อาจจะเป็นการทำบัญชี หรืออะไรสักอย่างในการอ้างอิง ถือว่าลดความแออัดจากจำนวนรถมอเตอรไซค์และอาคารคอนกรีตในตัวเมืองไปได้เยอะทีเดียว
การเดินทางมาเวียดนามครั้งนี้อาจจะมีหลายอย่างให้เป็นที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ แต่ผมไม่มีข้อมูลอะไรเลย สิ่งที่ผมอยากไปมากที่สุดคือ ทะเลทราย จากการได้ดูหนังเรื่อง เราสองสามคน พบว่ามีวิวหลายๆจุดที่สวยงามมาของที่นี่ แต่น่าเสียดายมันไม่ใช่จุดหมายของคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมทริปนี้ และการเดินทางไปยังทะเลทรายที่ว่า ก็ต้องนั่งรถไปถึง 8 ชม. ทั้งๆที่ระยะทางมันแค่ 200 กิโลเมตรเท่านั้นเอง (ประมาณแค่กรุงเทพไปหัวหิน)
อีกเรื่องที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่หงุดหงิดเอามากๆ นั่นก็คือ การที่รถที่นี่มีกฏจราจรของตัวเอง ซึ่งอาจจะดูมั่วซั่วในการขับ ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นจริงๆ ที่นี่อาศัยการบีบแตรเพื่อบอกรถข้างหน้าว่า "เฮ้ย ข้ามาจ่อหลังรถเอ็งแล้ว เอ็งอย่าขับบ้าๆนะเว้ย " แต่ด้วยข้อความที่ทุกคนอยากจะสื่อสารมาพร้อมกัน มันทำให้เกิดมโหฬี การบีบแตรอย่างสุดจะทน ผมพยายามทำความเข้าใจจนสรุปเองว่า การบีบแตรที่นี่ไม่ได้หมายถึงการด่าอะไรเลย เพราะทุกคนไม่มีอารมณ์อย่างขุ่นเคือง หรือว่าอาจจะมีบ้างเล็กน้อย แต่คงไม่มีการจอดรถลงมาด่ากัน หรือลงมาต่อยกันแบบบ้านเราหรอก
หลังจากที่เราผ่านเมืองที่คราคร่ำไปด้วยฝูงจักรยานและจักรยานยนตร์ได้แล้ว ฉากที่ดราม่าก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ฝนตกลงมาอย่างหนัก (จากข่าวที่ทราบมาภายหลังว่าที่เมืองไทยก็ตกหนักเอาการ ทำให้หลายๆ จุดในกรุงเทพน้ำท่วมไปด้วย) ตอนนี้เรากำลังจะหาข้าวเย็นกัน จากการพูดคุยในรถ เราจะเปลี่ยนจากอาหารเวียดนามมาเป็นอาหารญี่ปุ่นกัน น้องบอกว่าอาหารที่ร้านนี่อร่อยสู้ร้านฟูจิบ้านเราไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไร ที่ผมกลัวคือราคามากกว่า เพราะอาหาร Local ยังราคาสูง แล้วอาหารที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบราคาจะเป็นอย่างไร ร้านแบ่งออกเป็น สองโซน ด้านหน้าจะเป็น open air ส่วนด้านในก็ไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศอะไรเพียงแต่ฝนตกแล้วไม่เปียกเพราะมีหลังคาไว้ อาหารที่นี่ราคาไม่แพงอย่างที่ผมกลัว ประมาณร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปตามห้างบ้านเรา ไม่ได้แรงเหมือนสุขุมวิท แต่ก็อาจแลกมาด้วยคุณภาพของวัตถุดิบ ซึ่งนั่นเป็นหัวใจของอาหารญี่ปุ่นเลยไม่ใช่เหรอ ที่ร้านอาหารแห่งนี้ผมเจอซอสพริกที่เหมือนศรีราชาอีกแล้ว เจ้าซอสที่ว่านี่ผมมาฟังรายการ CEO vision ของคลื่น 96.5 ก็ได้รู้ว่า เราเสียผลประโยชน์ในเรื่องนี้ให้เวียดนามไป จากข้อมูลที่ผมได้จากวิทยุคือ มีคนเอาสูตรไปทำที่นั่น และมีชื่อเสียงจนต่างชาติเข้าใจว่า ซอสศรีราชา คือซอสของเวียดนาม และมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งของเวียดนาม - ข้อมูลนี้ทำเอาผมเศร้ามากๆ และที่น่าเศร้า คือมันอร่อยกว่าของเราในทัศนะของผม
พนักงานเอาใจใส่ดูแลเค้าแบ่งเป็นกลุ่มโต๊ะทำให้พนักงานแต่ละคนจำได้ว่าใครสั่งอะไร และการเสริฟพนักงานจะเป็นคนบอกว่าเสริฟที่ใคร และไม่มีผิดพลาดเลย ไม่ว่าผมจะสั่งไปเยอะและซับซ้อนแค่ไหน ค่าอาหารกินกันจนอิ่มตกคนละ 250,000 VND. เราพยายามถามข้อมูลต่างๆจากเด็กเสริฟ จนทำให้เรารู้จักชื่อเธอ "หงื่น" การออกเสียงของที่นี่ยากสำหรับผมมาก มันไม่สามารถมโนความหมายของชื่อกับสิ่งที่ผมเห็นจากใบหน้าได้เลย แต่ในไม่ช้าผมก็จะลืมไป
เนื่องจากก่อนหน้านี้เราอาศัยเหมารถตู้กัน สนนราคาคนขับรวมน้ำมันตกอยู่ที่ 3พันกว่าบาท (400,200 VND.) ก่อนที่จะแพงไปกว่านี้เพราะเนื่องจากเกินเวลาที่ตกลงกัน เราต้องกลับแท็กซี่ ซึ่งราคาเริ่มต้นที่ 12,000
ซึ่งค่ารถกลับที่พักคิดเป็นเงิน 24,000 VND.
เราหาที่นั่งกินอะไรเบากันก่อนเข้านอน ซึ่งไม่ไกลจากที่พักสักเท่าไร ร้านแรกที่เราเข้าไป ค่าเครื่องดื่มค่อนข้างราคาสูง รวมถึงเหล้าที่ไม่เคยเห็นและรสชาติอาจะไม่คุ้นปาก หลังจากเหล้าใกล้หมด ผมก็เดินมาอีกร้านหนึ่งไม่ไกลกันมากเท่าไร ที่นี่ผมจำราคาไม่ได้แต่รู้ว่าเบียร์แก้วหลักสิบ อาจจะ 70 บาท หรืออะไรราวๆนี้ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ จึงสบายใจที่จะกินที่นี่มากกว่า การจัดการและดูแลลูกค้าที่นี่เหมือนกับที่ร้านอาหารญี่ปุ่นไม่มีผิด แบ่งพื้นที่ดูแลชัดเจนเป็นวงแคบประมาณ 4 โต๊ะ ทำให้ดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึงจริงๆ พนักงานที่นี่อัธยาศัยดี เราได้คุยอะไรหลายอย่างกัน และเค้าบอกว่าเค้าชอบเมืองไทย และอยากหาโอกาสมาเมืองไทย ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นวิธีดูแลลูกค้าอย่างหนึ่งก็เป็นได้
ค่าเครื่องดื่มหลังจากเช็ตบิล 3 คน รวมกัน 550,000 VND.
ผมสั่งเบียรพร้อมป๊อบคอรนมากินอันที่จริงไอ้เจ้าป๊อปคอร์นเนี่ยใครเป็นคนคิดว่ามันควรจะกินกับเหล้าเบียร์ ผมคิดว่ามันไม่เข้ากันเลยสักนิดเดียว และข้างๆมีถุงเม็ดดำๆอะไรไม่รู้ หน้าตาไม่น่ากินเอาเสียเลย ซึ่งเด็กที่ร้านบอกให้ลองกินดูอร่อย ตอนหลังมากินถึงรู้ว่าเป็นถั่วปรุงรสซึ่งอร่อยอย่างที่เค้าว่าจริงๆ เพลงในร้านเป็นเพลงฝั่งตะวันตกทั้งร่วมสมัยทั้งตามสมัยไม่ค่อยทัน เอาว่า เพลง Pretty Fly (For A White Guy) ของ The Offspring เค้ายังขุดขึ้นมาเล่นพร้อมกับ Whistle ของ Flo Rida ได้เลย ระหว่างฟังเพลงเพลินๆสายตาสถาปนิกก็เริ่มซุกซน เริ่มมองดูจำนวนคน เชื่อมโยงกับทางเข้าออก รวมถึงระบบความปลอดภัยที่อยู่ในที่นี่ เอ๊ะ มันไม่มีเครื่องมือดับเพลิงหรืออะไรที่เกี่ยวกับความปลอดภัยเพียงพอเลยนี่หว่า ร้านนี้ตั้งอยู่บนอาคารประมาณชั้น 4 และที่สำคัญคือวัสดุทำจากไม้เกือบทั้งหมด ถ้าไหม้ไปก็แทบจะเอาตัวไม่รอดกันเลยทีเดียว
คิดไม่ทันครบถ้วนกระบวนการ ดนตรีสดจบลง ม่านลงมาปิดที่เวที บาเทนเดอร์เอาขวดใสๆบรรจุของเหลวมา แล้ว พรึ่บ!!!! ไฟก็ติดขึ้น มันคือน้ำมันก๊าด นี่หว่า และไม่มีได้มีขวดเดียว และไม่ได้วางบนโต๊ะ มันเอามาควง เว่ยเฮ่ย บารเทนเดอร์ 4-5 คนมันควงสลับกันอย่างเมามัน ไอ้ผมก็เสียวสิครับ เพิ่งคิดถึงเรื่องไฟไหม้ไปหยกๆ
เคร๊ง!!!!!!!
เสียงขวดตกลงบนพื้นไหม้กลางร้านเข้าเต็มๆ ของเหลวภายในไหลออกจากขวดอย่างรวดเร็ว นี่มันยังไม่เท่ากับเปลวไฟที่ลุกตามมาติดๆ เพลิงกำลังลุกอยู่กลางร้านครับ ผมถือโทรศัพท์อยู่ รอจังหวะวิ่งแต่ก็เปิดกล้องเพื่อบันทึกภาพวีดีโอเอาไว้ ด้วยความตื่นตะหนก ผ่านไปประมาณ 15-20 วินาที เพลิงก็สงบลง ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเท่าไร แต่เล่นเอาทุกอย่างหยุดและแขกนิ่งอึ้งไปกันพักนึง ด้วยความเมามันที่ค้างอยู่ เพลงเปิด แล้วนักดื่มก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น.........
ค่าเครื่องดื่มหลังจากเช็ตบิล 3 คน รวมกัน 550,000 VND.
ด้วยความที่ดื่มผสมกัน ตอนนี้ผมเริ่มไม่ได้สติ น้องเสนอให้ไปเช้าห้องสตรีมเสียหน่อยให้แอลกอฮอล์ออกจากร่างกายบ้าง พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆเดินทางไปสถานที่ที่วางแผนเอาไว้
Tags:
food&travel