" ทุกๆความอันตรายย่อมเหลือร่องรอยของความงดงามเสมอ "
ผมได้ประโยคนี้จากการเดินทางที่เวียดนาม ทริปที่ตอนแรกไม่ตั้งใจจะไปสักเท่าไร เพราะขออาศัยติตตามเค้าไป ภายหลังจากที่เค้าจองกันไปนานแล้วหลายสัปดาห์ และผมก็จองตามหลังจากที่เค้าอนุญาติให้ติดตามกันไปด้วย หากไปๆมาเค้าไม่โอเค ผมคงต้องเดินทางคนเดียว
การเดินทางครั้งนี้มีแต่ความไม่รู้ ไม่รู้ และ ไม่เคยพบมาก่อน แต่เราจะรู้ได้ไงหากเราไม่เคยสัมผัสมันเสียที กับการเดินทาง 3 วัน 2 คืนที่นี่มอบเรื่องราวอะไรต่างๆ มากมายให้ผมเหลือเกิน ทั้งเสียดายกับสิ่งที่สูญเสียและคุ้มค่า
เช้าวันแรก : ผมเดินมาถึงเวียดนามประมาณ 9.30 ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกว่าเพื่อนที่จองมาก่อน เพราะผมเล่นจองแบบไม่เอาประกัน ไม่โหลดกระเป๋า ลดค่าใช้จ่ายกันสุดๆ ที่นี่อากาศไม่แตกต่างจากบ้านเรามากนัก ร้อนและแดดค่อนข้างแรง หลายๆ อย่าง อาคารบ้านเรือนรอบสนามบินไม่เสื่อมโทรมอย่างที่คิดเลยออกจะดูดีจนเกินไปด้วยซ้ำ ซึ่งผมได้มาพบต่อมาว่ามันดูดีแค่แถวสนามบินนั่นแหละ ยิ่งไกลออกมาความเจริญเริ่มน้อยลงตามระยะทาง
ผมเดินออกมาทางด้านหน้าของสนามบิน มีคนมารอรับอยู่เต็มไปหมด ต่างชูป้ายโบกไม้โบกมือกัน รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ขนาดผมไม่ได้บอกใครว่าผมมานะ แต่ทำไมเค้าไม่มองมาทางผมเลย สงสัยมองผมไม่เห็นกันกระมัง แต่ไม่เป็นไรผมเดินออกมาด้านนอกดีกว่า ถนนหน้าสนามบินมีคนมาเรียกขึ้นแท็กซี่กันขวักไขว่เหมือนเมืองไทยไม่มีผิด วัฒนธรรมหลายๆอย่างที่นี่ดูแล้วก็คล้ายๆ เมืองไทยนะ การเดินทางด้วยระยะทางประมาณ 2 ชม.โดยเครื่องบินไม่เพียงพอต่อการเป็นพรหมแดนที่กั้นวัฒนธรรมกันอย่างเด็ดขาด ผมกับเพื่อนพยามจะเปิดการเชื่อมต่อกับโลกที่ผมจากมาด้วยเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเท่าที่ทำได้ตอนนี้ และพยายามติดต่อน้องที่อาสาเป็นไกด์ของทริปนี้ ซึ่งเป็นรุ่นน้องของเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันเพื่อมาทำงานได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั่น
การเดินทางมายังต่างประเทศที่สื่อสารกันคนละภาษา ผมรู้สึกชอบตรงที่เหมือนมีกำแพงที่กั้นผู้คนรอบตัวเราเอาไว้ เราสามารถทำอะไรหรือพูดคุยแซวอะไรก็ได้ กลุ่มเพื่อนที่มาทั้งหมดเป็นชายล้วนๆ นั่นหมายความสายตาของเราๆ ย่อมมองหาสิ่งเร้า สิ่งที่แตกต่างจากบ้านเราออกไป สิ่งนั้นคือ "สตรีศรีเวียดนาม"
ผู้หญิงที่นี่ค่อนข้างดึงดูดสายตาหนุ่มๆ อย่างพวกผม ด้วยผิวพรรณ ทรวดทรวงที่เรียกได้มาให้มาเต็มจริงๆ ผมเดาๆ ว่าที่นี่คงจะเป็นของจริงกันหมด เพราะเนื่องด้วยสภาพของเศรษฐกิจของที่นี่ที่ทำให้การศัลยกรรมสำหรับคนทั่วไปในประเทศนี้กลายเป็นเรื่องสิ้นเปลืองจนเกินตัว
เราพยายามติดต่อน้องคนที่อยู่นี่ แต่ไม่สามารถติดต่ออะไรได้เลย สัญญาญอินเตอร์เนตผ่านมือถือที่นี่แย่กว่าที่คิดเอาไว้มาก Skype Credit ที่พึ่งจะเติมก่อนเดินทางมาถึง10 USD. ของผมผมลืมไปได้เลย ความเร็วนี่วิ่งระดับ EDGE ในรูปของ 3G
"ไหนใครบอกให้มาดู 3G ที่เวียดนาม(วะ)"
ระหว่างรอการติดต่อที่ยังมาไม่ถึง พี่ๆ ก็เดินไปหาที่แลกเงิน อย่างที่บอกทุกคนที่มาโดยเฉพาะผม ไม่ได้เตรียมแผนการแผนที่หนึ่งหรือแผนสองใดๆ มาเลย แม้กระทั่งแค่การแลกเงินเป็นสกุลเงินของที่นี่ เรากำแต่เงินบาทมาเท่านั่น เราฝากความหวังทุกอย่างไว้กับ "ออสการ์" น้องคนที่อาสาเป็นไกด์และเป็นคนวางแผนให้ทั้งหมด ถ้าหากไม่สามารถติดต่อกันได้เลยคงจะแย่กันแน่นอน ว่าแล้วเราก็พยายามจะเดินวนเข้าไปแกล้งทำเป็นผู้โดยสารที่พึ่งจะออกมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เผื่อเราจะคลาดอะไรไป พอเราเริ่มเข้าประตูอีกรอบเท่านั้นดูเหมือนเค้าจะไม่ให้เดินเข้าไปอีกรอบในสนามบิน พวกผม
นึกขึ้นได้ว่าทำไมเราไม่ใข้โทรศัพท์โลคอล (Local) โทร แต่! เอ้ย! เราไม่มีเงินพื้นถิ่นติดตัวกันมาเลย
น้องดูถ้าจะมาสาย หรือไม่ก็ลืมไปเลย แต่คงจะไม่ได้เกิดจากการคาดเดาพฤติกรรมของรุ่นพี่ชมรมมาหรอกนะ (พวกชอบมาสาย แบบ เอ้ย! พี่แมร่งมาสายประจำ มาเครื่องบินแมร่งก็คงสายเหมือนกันนั่นแหละ )
แต่เอ้ย!
ผมหยุดนั่งรอทึ่ร้านเครื่องดื่มตรงแถวนั้น ในขณะที่เพื่อนตัดสินใจกด atm เพื่อแลกเป็นเงินเวียดนามดอง สามีภรรยาชาวฝรั่งถัดไปไม่ไกลกำลังประกอบจักรยานเสือภูเขา ทำให้ผมอยากปั่นตามขึ้นมาตะหงิดๆ ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เศร้าสลดที่พึ่งจะเกิดไม่นาน สามี-ภรรยาชาวอังกฤษที่ปั่นจักรยานรอบโลก จนกระทั่งมาเสียชีวิตที่เมืองไทย
หลังจากนั้นโคตรนาน น้องก็มาถึง ความรู้สึกพวกเราเหมือนได้รับรางวัลอะไรบางอย่าง ต่างชะโงกหน้ามาดูกันว่าใช่หรือไม่จะได้หลุดจากนรกการรอที่นี่สักที รถที่มารับเป็นรถสปรินเตอร์ญี่ห้อเบนซ์ พวงมาลัยที่นี่ขับซ้ายทำให้มุมมองการดูวิวของผมค่อนข้างผิดพลาดไปเพราะเคยชินกับรถขับขวามากกว่า ค่าเช่ารถน่าตกใจมากๆ "วันละสองล้านนนนนน" อะไรมันจะแพงขนาดนี้ แต่พอแปลงมาเป็นเงินไทยก็เหลือสามพันกว่าบาทเท่านั้นเอง
Tags:
food&travel