การเขียนวันนี้มีจุดประสงค์สองเรื่องหลักๆ คือ
การท่องเที่ยวในเวียดนามไม่ได้น่ารักอย่างที่คิด ไม่ว่าที่ไหนก็ตามควรจะระวังเรื่องของความปลอดภัยและทรัพย์สินไว้เสมอ ผมถือว่าโดนไม่มาก และอย่างที่สองก็คือเพื่อสงบสติอารมณ์สำหรับเหตุการณ์โง่ๆที่พลาดไป ยอมรับว่าระแวงไปหมด และเสียความรู้สึกกับประเทศนี้ไปเลย
เรื่องของเรื่องคือ ผมโดนโกงเงินไปต่อหน้าต่อตา เป็นเรื่องที่พลาดอย่างแย่ๆ เพราะจากที่ควรจะเสียแค่150,000 VND. กลายเป็น 2,500,000 VND. คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4,500 บาท ซึ่งทำเอาผมเกือบจะกลับไทยไม่ได้เนื่องจากผมกะว่าใช้เงินใกล้หมดพอดี เหลือเงินสำรองฉุกเฉินแค่นิดหน่อยเท่านั้น เนื่องจากการแลกเงินเวียดนามกลับเป็นเงินไทยจะโดนกดราคาเป็นอย่างมาก
tip: หาที่แลกเงินใกล้ๆ และแลกวันละประมาณ 3000-5000 บาทต่อคนก็เพียงพอ คุณพกเงินมากๆและด้วยสกุลเงินเวียดนามหยิบอะไรก็เป็นหมื่นเป็นแสน คุณจะงงเอามากๆ
ตอนที่เริ่มเขียนผมนั่งอยู่ที่ โฮจิมินทร์ มิวเซียม เพิ่งโดนฉกเงินไปหยกๆ ด้วยความที่ทำไรไม่ถูก คุณคนที่โดนโกงน่าจะพอเดาอารมณ์ผมออก เริ่มเรื่องความโง่จากการที่ผมดันไปยืนกดโทรศัพท์ดูแผนที่ข้างถนน หลังจากออกมาจากร้านอาหาร ผมเดาว่าผมตกเป็นเป้าหมายตั้งแต่ก่อนเข้าร้านแล้ว มีลุงขี่จักรยานถีบแบบเวียดนามมาคุยด้วย (ซึ่งอันนี้เป็นความโง่ที่ไม่รู้จักหาข้อมูลเรื่องที่ต้องระวังไว้ก่อน) ด้วยความเป็นคนระแวงอยู่แล้งก็ปฎิเสธการคุยด้วย แต่เรื่องมันดำเนินต่อตรงที่ว่ามันวิ่งไปเอาแผนที่พยายามอธิบายแพคเกจมันว่าพาไปโน่นนี่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่คนไทยจะปฏิเสธอยู่แล้ว เพราะมันเห็นๆที่บ้านเราก็มีอะไรแบบนี้อยู่ มันถามว่าเป็นคนประเทศอะไรจากนั้นก็หยิบสมุดเล่มเก่าๆยับๆขึ้นมา แล้วเปิดไปที่หน้าคนไทยมีตัวหนังไทยเขียนเป็นลายมือผู้หญิงว่า
"ลุงน่ารักมาก บริการดีประทับใจ " และยังเขียนอะไรอีกยาวมากเหมือนเป็น portfolio ของมัน แล้วมันก็บอกว่าคิดแค่150,000ดอง ซึ่งผมมั่นใจว่าดูไม่ผิด แต่ตอนท้ายมันบอกเป็นล้าน
ลุงก็ปิดการขายด้วยการลากจักรยานมาแล้วให้ผมขึ้น ผมคิดว่าแค่แสนก็หลักร้อยบาท พาไปที่เดียวก็พอไหวน่าลอง ถ้าไปหลายที่ก็คงคุ้ม จึงตัดสินใจขึ้นรถ ก่อนขึ้นผมถามว่า
"จ่ายเงินตอนจบทริปใช่ไหม" ซึ่งมันก็บอกว่าใช่
การใช้ testmonial book มันหลอกคนอย่างผมได้สนิทจริงๆ ลองคิดดูว่า
ลุงนี่พาไปหลายที่แต่เป็นแค่ผ่านๆ ที่หยุดจริงๆคือ war museum และศาลเจ้าจีนเล็กๆ
การปั่นจะเป็นไปแบบ nonstop เวลานั้นใกล้เที่ยงและเลยเที่ยงมาแล้ว ด้วยแดดร้อนๆผมหิวน้ำ และเหนื่อยมาก สมองตื้อไปหมด เพราะจักรยานไม่มีหลังคา ตอนนั้นมีน้ำขวดเดียวก็เลยกินไปจนหมด ผมก็สังเกตว่าทำไมไม่ถามเราเรื่องของน้ำดื่ม เพราะถ้าซื้อคงจะซื้อไปฝากมันด้วย
พวกนี้ใช้วิธีบริการที่ดี takecare เราดีเวอร์ บวกให้เราระวังกล้องระวังกระเป๋า อย่าไปเสียค่าชมตรงไหนบ้าง สังเกตว่าทุกที่ที่มีคนเยอะเกินไป อย่างผมอยากจะไปโบสถ์ แต่มันบอกว่าเดี๋ยวขับผ่านจอดให้ถ่ายรูปแปปเดียว แต่ให้ไปดูอีกที่นึงก่อน ซึ่งหลังจากเกิดเหตุผลผมเปิดแผนที่apple ก็พบว่ามันใกล้กันมาก แลัวสถานที่นั้น มีคนเยอะ มีน่าจะเป็นอาสาของตำรวจเยอะมากๆ มันคงกลัวอะไรบางอย่าง
มันไปจอดให้ผมลงที่ โฮจิมินทร์ มิวเซียม ปกติมันจะจอดหน้ประตูทางเข้า แต่ครั้งนี้มันจอดด้านอื่นซึ่งห่างจากประตูเอามากๆและบอกว่า ขอค่าจ้างมันจะไปกินข้าวแล้วเด่วกลับมารับที่นี่ ปกติมันจะรอนะ แต่มันพูดแบบนี้ ผมหยิบให้ 150,000 VND. ตามที่ตกลงไว้ มันบอกไม่ใช่ๆ โวยวายใหญ่ แล้วหยิบกระดาษอีกแผ่น ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้น เพราะราคามันคือ 1,500,000 VND. คือด้วยความที่อะไร มัวแต่มึนกับเรื่องตัวเลขมันฉกเงินไปจากกระเป๋าเร็วมาก และเก็บเข้ากระเป๋าซึ่งทริคนี้เหมือนผมเคยเห็นในรายการอะไรสักอย่าง และบอกว่าขาดอีกเท่าไร ระหว่างที่ทุกอย่างมันสับสนอย่างนั้น มันบอกว่าขาดอีก 500,000 VND. ตอนนี้ผมมึนแล้วด้วยความที่มันพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องเลยเสียใบสุดท้ายไป
ถ้าคนไม่ตกอยู่ในสถานะการอย่างนั้นคงไม่รู้จริงๆว่าทริคมันร้ายกาจ ใครคิดว่าผมโง่ ผมคงต้องยอมรับครับ ตอนนั้นมันสุดวิสัยจริงๆ
พอได้ทุกอย่างไป ผมยังไม่ทันได้เช็คเงินในกระเป๋า มันบอกให้ดูเสร็จรออยู่ที่นี่ เด่วมันมา แต่ตอนนั้นผมคิดว่าให้ตายมันก็ไม่กลับมา และมันก็ถีบจักรยานไปอย่างรวดเร็ว พอมานับเงินในกระเป๋าปรากฎว่ามันฉกแบ๊งก์ 500,000 VND. ไปเกือบหมด ตอนเช้าผมนับมันมี 6 ใบแต่ผมใช้ไปใบหนึ่งแล้ว
Tip คุณควรจะนับเงินของคุณทุกครั้งว่าเหลือกี่ใบ อะไรบ้าง จะง่ายต่อการตรวจสอบ
ด้วยความที่ผมเข้สพิพิธภัณฑ์ใข้เงินเบ็กไปเยอะ ทำให้ผมเหลือเงินมูลค่ากลางๆอีกไม่มาก ประมาณ 600,000 VND. ทำให้ชีวิตลำบากเลย ต้องดูว่าเราจะกินอะไร กลับไปสนามไปบินอย่างไร เพราะสถานการณ์นี้ จนปัญญาจริงๆ
Tip ถ้าเป็นไปได้คุณควรเปิด roaming service ไว้ แต่ไม่ต้องใส่ซิมหรือตั้ง flight modeก็ได้ ในเคสนี้คุณคงต้องการความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำ ผมมีโทรศัพท์ที่เพื่อนซื้อซิมที่นี่ทิ้งไว้ให้ แต่มันดันล๊อคเครื่องโดยที่ปกติได้ล็อค จะย้ายซิมก็ไม่ได้เพราะอีกเครื่องเป็น iPhone จริงๆผมเอาเข็มมาจิ้มซิมเผื่อไว้แล้ว แต่มันดันหายไป วุ่นวายกับการหาที่จิ้มถาดซิมพักใหญ่แล้วมานึกขึ้นได้ในกระเป๋ามีชุดเย็บผ้าที่มีเข็มอยู่ จึงจะสามารถสลับซิมกันได้
เหตุการณ์นี้ทำเอาผมระแวงไปหมดทุกอย่างการหยุดพัก การมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาหรือมอง ดีที่ระหว่างผมให้มันเห็นแค่กล้อง Panasonic GF2 ซึ่งเป็นกล้องเล็ก แต่ข้างในสถานที่ผมจะสลับเป็น DSLRตัวใหญ่ ซึ่งมูลค่าแพงโขเหมือนกัน ปกติแล้วผมก็จะระวังๆเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พอเสียเหลี่ยมยังงี้แล้วแย่มากๆ เหตุการณ์เกิดตอนเที่ยง แต่ผมกลับตอนสามทุ่มครึ่ง ผมต้องระวังตัว เงินในกระเป๋าที่พอแค่ค่าอาหารเย็นธรรมดาและค่ารถไปสนามบินแบบฉิวเฉียด ต้องใช้สติสุดท้ายที่เหลือมากๆ ระหว่าที่ผมมึนๆก็พยายามน้ำดื่ม เพราะส่วนหนึ่งคือขาดน้ำด้วย เมื่อคืนก่อนผมดื่มแอลกอฮอล์เยอะมาก ร่างกายยังต้องการน้ำเลยทำให้เป็นอย่างนี้ ตอนนั้นเจอตู้น้ำดื่มอันนึง มีแก้วพลาสติกอยู่หนึ่งใบ ผมนึกถึงขวดเปล่าที่ทิ้งไปที่ศาลเจ้าจีนมาก
Tip ควรพกน้ำอยู่ตลอด ขวดปล่าวก็ควรเก็บไว้เป็นภาชนะ ผมกลัวไม่สะอาดตอนนั้น แต่หลังจากดูร่างกายถ้าไม่ได้น้ำคงจะแย่ เลย กลับไปล้างแก้วกับน้ำเปล่าๆ และกินไปพอสมควร จนร่างกานดีขึ้นมา ทำให้คิดอะไรและสงบใจได้มากขึ้น
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อประเทศเวียดนามนี้ไปจากเมื่อวันก่อนอย่างสิ้นเชิง เราเป็นนักท่องเที่ยว ลำบากในการสื่อสาร และที่นี่ผมไม่เห็นป้อมตำรวจเลย และคิดว่ามันคงไม่ช่วยอะไรเรามากหรอก เพราะเด่วเราก็กลับแล้ว เราต้องพึ่งตัวเองจริงๆครับ ทำให้ผมไม่อยากเดินทางคนเดียวอีกเลย เพื่อนเดินทางสำคัญมากนะครับสำหรับคนโง่ๆอย่างผม
ในทรัพยากรที่เหลือ ผมคงต้องลากตัวเองไปที่สนามบินละครับ เพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัย แต่ระหว่างทางจะยังไงก็ไม่รู้ แท็กซี่ที่นี่ก็โกงและกากนะครับ ต้องลุ้นกันต่อไป
Tags:
food&travel