ประสบการณ์หลังจากอยู่ใน LA ได้ 2 อาทิตย์

ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อก่อนว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องมาหาอะไรเรียนหรือมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศให้ได้ ตอนนั้นยังเด็กอยู่ความฝันมันก็ดูยิ่งใหญ่ แม้จะมีการวางอะไรต่างๆรอไว้ก็ตาม แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ

เงินตั้งต้น

นั้นยังไม่มีสักบาทเลย  ได้แต่มองดูเอกสาร และคอยคุยกับเพื่อนที่เค้าอาศัยต่างประเทศ ถามข้อมูลไปเรื่อยๆเพื่อเก็บไปฝันว่า สักวัน ฉันจะบินให้ถึงที่เราต้องการ


ผ่านไปจะ 10 ปี ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ ผมกำลังนั่งพิมพ์ blog เรื่องนี้อยู่ที่บ้านเล็กๆ แสนจะอบอุ่นใน Los angeles California  สิ่งที่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่างที่เป็นอยู่ ค่อยๆเพิ่มเติมและได้คำตอบไปเองทีละอย่าง  และในหลายๆอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ผมไม่สามารถรับรู้เรื่องที่เขาพูดๆกันได้อย่างถ่องแท้ หากวันนี้ไม่ได้มาอาศัยอยู่บนอีกซีกโลกหนึ่งของประเทศไทย และอยู่คนละ Timezone กับบ้านที่เราเกิดมา

พยายามจะเก็บข้อมูลและบันทึกเรื่องที่ค่อยๆเข้าใจมาทีละนิดเขียนเป็นข้อมูลเอาไว้ได้ทราบกัน  ซึ่งหลายๆข้อมูลก็คงเป็นที่รู้กันบ้าง แต่ผมจะลองเขียนและแชร์ในมุมมองของผมเอาละกัน






ที่ด่านตรวจ
- WiFi อันดับแรกเลย สนามบิน LAX มี WiFi ให้ตั้งแต่ลงเครื่อง ซึ่งการได้มาซึ่ง Free-WiFi นี้ ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆนาๆ เราก็ทนอ่าน แล้วกดมันนิดนึง
- ของต้องสำแดง อาหารจำพวกไข่ ที่นี่หลายคนบอกว่าเอาเข้ามาไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่เสี่ยงอยู่แล้ว แต่มีประเด็นกับคำว่า food ที่เค้าให้สำแดง ผมมีน้ำพริก น้ำปลา โจ๊กซอง และมาม่าอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นประเทศไทยราวๆ ตี2 ผมถามเพื่อนที่ไทยไม่มีใครตื่นมาตอบเลย ก็ใช้เวลาระหว่างรอตรวจหาข้อมูลว่าควรหรือไม่ควรที่จะสำแดง
          หลายๆคนในอินเตอร์เนต แนะนำให้แจ้ง เพราะเหมือนกับแสดงความซื่อสัตย์กับบ้านเมืองเค้า แต่เพื่อนและน้อง ที่อเมริการส่วนใหญ่ บอกว่าไม่ต้องบอก ในใจผมก็สั่น แต่ว่าก็พยายามมองว่าถ้าตรวจระหว่างบอกแต่แรกกับไม่บอกจะเป็นไง คิดอยู่นานหลายตลบก็เลยตัดสินใจไปว่า "บอกดีกว่า" ว่าแล้วก็กาในช่องมี food ให้สำแดง
          แถวของศุลกากรที่นี่มีไม่เยอะประมาณ 4-5 แถว แต่คนรอยาวมาก จนในที่สุดก็ถึงตามผม ผมก็เลยยื่นเอกสารให้ และถามเป็นภาษาอังกฤษที่ยังไม่ค่อยแข็งแรงไปว่า


              "ผมเอา Instant noodle มา เป็นอะไรไหม"

              เจ้าหน้าพยายามเข้าใจและถามผมกลับมาว่า
              "ไม่เป็นไร แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือปล่าว"

               ผมเริ่มดีใจ ที่ตัดสินใจบอก เพราะว่าอย่างมากเค้าก็แค่เอาของเราทิ้ง ถ้าเอาเข้าประเทศไม่ได้
              "ผมมีน้ำปลาเข้ามาด้วย"

          ถึงตอนนี้จะทิ้งน้ำปลาก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านไปโดยไม่มีพิธีอะไรยุ่งยากเลย

- ภายนอกอาคาร  เนื่องจาก LAX มีหลายอาคาร ออกมาก็บอกคนมารับนิดนึงครับว่าอยู่อาคารไหน หรือว่าส่วนใหญ่จะลงอาคารเดียวกันอยู่แล้วก็ไม่ทราบ




เพื่อน
          ผมมีเพื่อนที่มาอยุ่ LA ได้ปีหนึ่งแล้ว เพื่อนคนนี้ขับรถมารับที่สนามบินเพื่อไปส่งที่บ้านที่พักด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่า วันที่ผมไปเป็นวันที่งานเค้ายุ่งมากๆ (ทำงานเป็น driver) ผมจะต้องติดรถเพื่อนไปตลอดเวลาจนกระทั่งเลิกงานประมาณ 4 ทุ่ม ถึงจะกลับบ้านพร้อมกันได้ ซึ่งตอนนั้นเรื่องการเดินทางไม่มีอยู่ในหัวเลย ไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลรถต่างๆ ก็เลยอาศัยรถเพื่อนเพื่อดูภายในเมืองไป
          ร้านอาหารไทย ที่เพื่อนทำเจ้าของใจดีมาก และพบว่าผมโชคดีหรือว่ามีเพื่อนดีไม่รู้ ที่พบแต่คนดีๆ เพราะว่ามื้อแรกของที่นี่ ผมได้กินฟรี โดยเพื่อนผมแบ่งอาหารที่ปกติพนักงานจะสั่งได้มาให้ผมกิน ซึ่งอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเยอะอยูแล้ว ผมก็เลยแบ่งกับเพื่อนกินกันสบายๆ
          มื้อเย็น เป็นมื้อที่ดึกหน่อย เพราะว่าเพื่อนจะงานเยอะเนื่องจากเป็นวันที่ฝนตกช่วงเย็น คนมักจะสั่ง To go ไปที่บ้าน ก็เลยกว่าจะได้กินกัน ซึ่งมื้อนี้เจ้าของเค้าสั่งให้กินในร้านสองจานเลย เพราะเห็นผมนั่งแบ่งกับเพื่อน เค้าใจดีให้ข้าวผมกินฟรี ซึ่งเป็นข้าวผัดหมูที่อร่อยมากจานนึง ต้องขอบคุณร้านพี่เค้ามากๆ

กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกพอสมควร แต่ว่าดีที่ได้บ้านเอาไว้แล้ว ทุกอย่างเลยลงตัวตั้งแต่คืนแรกๆ แต่ที่ไม่ชินก็คือ อากาศที่ยังมีความหนาวอยู่ ถึงแม้ LA จะเป็นเขตที่เค้าว่ากันว่าอากาศดีที่สุดในอเมริกา แต่สำหรับผมตอนนี้มันหนาวไป เสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่นมีอยู่บ้าง แต่ว่า ขาดเรื่องเครื่องนอน เพราะว่าเข้าบ้านมาดึกเกิน คืนแรกเลยจำเป็นจะต้องอาศัยบางอย่างของเพื่อนและของเท่าที่มีนอนไปก่อน หลังจากนั้นก็พยายามมองหาที่นอนที่ไม่แพงมาก และขนาดพอเหมาะกับการใช้งาน และที่สำคัญต้องเคลื่อยย้ายได้ง่าย บางทีเราไม่รู้หรอกว่าเราอาจจะต้องย้ายที่พักตอนไหน ทำตัวให้พร้อมไว้ก่อนก็ดี ห้องพักหลายที่ที่ราคาสูงหน่อยจะมีที่นอนมาให้ (สังเกตจากห้องเพื่อนบางคน)





เครือข่ายโทรศัพท์
          เป็นปัจจัยต้นๆเลยที่จะต้องหาไว้ให้ได้ เนื่องจากเดิมผมใช้ iPhone4S ทำให้สามารถเอาใช้ที่นี่ได้เลยไม่มีปัญหาเรื่องของคลื่นความถี่ แต่ปัญหาคือ Carrier หรือผู้ให้บริการเครือข่ายมีมากมายเหลือเหิน ไม่ได้มีแค่ AIS Dtac True-move เหมือนบ้านเรา แรกๆไปก็งงเลยเพราะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรบ้าง และจนบัดนี้ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่หลังจากที่ใช้ได้พักนึง พอจจะสรุปคลื่นที่ผมพอจะรู้จักได้ดังนี้
- AT&T เสมือน AIS แพงกว่าชาวบ้านเค้าหน่อย แต่สัญญานจะดีกว่า ไปนอกเมือง (อย่าง Utah จะมีสัญญาณในขณะที่เครือข่ายอื่นมีปัญหาเล็กน้อย)
- T-mobile เสมือน Dtac-Truemove เนื่องจากราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เหมือนสัญญานจะแย่กว่านิดนึง ซึ่งผมเองไม่ได้ใช้เลยไม่มั่นใจ แต่ฟังจากที่เพื่อนๆบอก และจากการสัมผัสที่ไปเที่ยวนอกเมืองกัน

ค่าโทรศัพท์ที่นี่เริ่มต้นที่ $45 ซึ่งแพงกว่าผมใช้ที่เมืองไทย สามารถโทรและส่ง SMS ได้ไม่จำกัด แต่มาอยู่นี่ก็ไม่รู้จะโทรหาใครมากมาย Data ให้ 1GB ซื้อเพิ่ม GBละ $10 ด้วยความที่ที่นี่เป็น LTE ซึ่งเร็วกกว่าบ้านเรามาก มันเลยสูบ Data ผมไปเกลี้ยงตั้งแต่สัปดาห์แรกๆเลย แต่ว่าพอมันหมดก็จะลดความเร็วลงน่าจะเหลือประมาณ Edge บ้านเรา แต่ถามว่าใช้งานได้ไหม ก็พอใช้งานได้นะครับ ช้าบ้าง แต่ถ้าแค่เปิด Line ดูแผนที่บน google map หรือว่าดูเวลารถเมล์ผ่าน Go Metro ก็ได้อยู่  ที่สำคัญ facetime-voice ได้ไม่มีปัญหาเลย แม้จะเดินเข้าตึกก็ตาม

จะโทรกลับไทย
         การโทรกลับไทยตอนแรกผมใช้ skype ซึ่งมีเงินเหลือจากการเติมเงินที่ไทย (2.3¢1/min) ซึ่งถือว่าไม่ค่อยแพง แต่ด้วยความที่เรานานๆโทรทีเราก็คุยนาน ทำให้เห็นเงิน $ ค่อยหายไปก็ตกใจ ด้วยความที่ว่าเราไม่มีรายได้ตอนนั้น จึงมองหาทางอื่น ปรากฏว่าที่นี่มีบัตรโทรศัพท์โทรกลับไทยด้วย rate ราคาน่าตกใจมากๆ เฉลี่ยชั่วโมงละ $1 ผมซื้อที่ร้านหนังสือดอกหญ้า ที่ Thaitown ราคา $5 สัญญานจะไม่ค่อยเท่าไร ตามราคา เสียงจะดีเลย์นิดนึง แต่ด้วยชั่วโมงที่จุใจทำให้ผมมองข้ามมันไปได้เลย สามารถโทรได้โดยผ่านเบอร์ local ของอเมริกา และจากนั้นใส่ pincode ตามที่ขูดได้ในบัตร จากนั้นกดเบอร์ปลายทางพร้อมรหัสประเทศ


**** เรื่องอื่นๆจะมาทยอยอัพเดท เพราะตอนเขียนมาอยู่ LA ได้สองอาทิตย์ แต่กว่าจะกลับมาเขียนก็ปาเข้าไปสองเดือนครับ ชีวิตที่นี่สนุก เบื่อ เศร้า และยุ่งมากๆเลย

Post a Comment

You can share any idea here.......

Previous Post Next Post

Contact Form