ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อก่อนว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องมาหาอะไรเรียนหรือมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศให้ได้ ตอนนั้นยังเด็กอยู่ความฝันมันก็ดูยิ่งใหญ่ แม้จะมีการวางอะไรต่างๆรอไว้ก็ตาม แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ
เงินตั้งต้น
นั้นยังไม่มีสักบาทเลย ได้แต่มองดูเอกสาร และคอยคุยกับเพื่อนที่เค้าอาศัยต่างประเทศ ถามข้อมูลไปเรื่อยๆเพื่อเก็บไปฝันว่า สักวัน ฉันจะบินให้ถึงที่เราต้องการ
ผ่านไปจะ 10 ปี ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ ผมกำลังนั่งพิมพ์ blog เรื่องนี้อยู่ที่บ้านเล็กๆ แสนจะอบอุ่นใน Los angeles California สิ่งที่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่างที่เป็นอยู่ ค่อยๆเพิ่มเติมและได้คำตอบไปเองทีละอย่าง และในหลายๆอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ผมไม่สามารถรับรู้เรื่องที่เขาพูดๆกันได้อย่างถ่องแท้ หากวันนี้ไม่ได้มาอาศัยอยู่บนอีกซีกโลกหนึ่งของประเทศไทย และอยู่คนละ Timezone กับบ้านที่เราเกิดมา
พยายามจะเก็บข้อมูลและบันทึกเรื่องที่ค่อยๆเข้าใจมาทีละนิดเขียนเป็นข้อมูลเอาไว้ได้ทราบกัน ซึ่งหลายๆข้อมูลก็คงเป็นที่รู้กันบ้าง แต่ผมจะลองเขียนและแชร์ในมุมมองของผมเอาละกัน
ที่ด่านตรวจ
- WiFi อันดับแรกเลย สนามบิน LAX มี WiFi ให้ตั้งแต่ลงเครื่อง ซึ่งการได้มาซึ่ง Free-WiFi นี้ ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆนาๆ เราก็ทนอ่าน แล้วกดมันนิดนึง
- ของต้องสำแดง อาหารจำพวกไข่ ที่นี่หลายคนบอกว่าเอาเข้ามาไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่เสี่ยงอยู่แล้ว แต่มีประเด็นกับคำว่า food ที่เค้าให้สำแดง ผมมีน้ำพริก น้ำปลา โจ๊กซอง และมาม่าอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นประเทศไทยราวๆ ตี2 ผมถามเพื่อนที่ไทยไม่มีใครตื่นมาตอบเลย ก็ใช้เวลาระหว่างรอตรวจหาข้อมูลว่าควรหรือไม่ควรที่จะสำแดง
หลายๆคนในอินเตอร์เนต แนะนำให้แจ้ง เพราะเหมือนกับแสดงความซื่อสัตย์กับบ้านเมืองเค้า แต่เพื่อนและน้อง ที่อเมริการส่วนใหญ่ บอกว่าไม่ต้องบอก ในใจผมก็สั่น แต่ว่าก็พยายามมองว่าถ้าตรวจระหว่างบอกแต่แรกกับไม่บอกจะเป็นไง คิดอยู่นานหลายตลบก็เลยตัดสินใจไปว่า "บอกดีกว่า" ว่าแล้วก็กาในช่องมี food ให้สำแดง
แถวของศุลกากรที่นี่มีไม่เยอะประมาณ 4-5 แถว แต่คนรอยาวมาก จนในที่สุดก็ถึงตามผม ผมก็เลยยื่นเอกสารให้ และถามเป็นภาษาอังกฤษที่ยังไม่ค่อยแข็งแรงไปว่า
"ผมเอา Instant noodle มา เป็นอะไรไหม"
เจ้าหน้าพยายามเข้าใจและถามผมกลับมาว่า
"ไม่เป็นไร แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือปล่าว"
ผมเริ่มดีใจ ที่ตัดสินใจบอก เพราะว่าอย่างมากเค้าก็แค่เอาของเราทิ้ง ถ้าเอาเข้าประเทศไม่ได้
"ผมมีน้ำปลาเข้ามาด้วย"
ถึงตอนนี้จะทิ้งน้ำปลาก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านไปโดยไม่มีพิธีอะไรยุ่งยากเลย
- ภายนอกอาคาร เนื่องจาก LAX มีหลายอาคาร ออกมาก็บอกคนมารับนิดนึงครับว่าอยู่อาคารไหน หรือว่าส่วนใหญ่จะลงอาคารเดียวกันอยู่แล้วก็ไม่ทราบ
เพื่อน
ผมมีเพื่อนที่มาอยุ่ LA ได้ปีหนึ่งแล้ว เพื่อนคนนี้ขับรถมารับที่สนามบินเพื่อไปส่งที่บ้านที่พักด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่า วันที่ผมไปเป็นวันที่งานเค้ายุ่งมากๆ (ทำงานเป็น driver) ผมจะต้องติดรถเพื่อนไปตลอดเวลาจนกระทั่งเลิกงานประมาณ 4 ทุ่ม ถึงจะกลับบ้านพร้อมกันได้ ซึ่งตอนนั้นเรื่องการเดินทางไม่มีอยู่ในหัวเลย ไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลรถต่างๆ ก็เลยอาศัยรถเพื่อนเพื่อดูภายในเมืองไป
ร้านอาหารไทย ที่เพื่อนทำเจ้าของใจดีมาก และพบว่าผมโชคดีหรือว่ามีเพื่อนดีไม่รู้ ที่พบแต่คนดีๆ เพราะว่ามื้อแรกของที่นี่ ผมได้กินฟรี โดยเพื่อนผมแบ่งอาหารที่ปกติพนักงานจะสั่งได้มาให้ผมกิน ซึ่งอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเยอะอยูแล้ว ผมก็เลยแบ่งกับเพื่อนกินกันสบายๆ
มื้อเย็น เป็นมื้อที่ดึกหน่อย เพราะว่าเพื่อนจะงานเยอะเนื่องจากเป็นวันที่ฝนตกช่วงเย็น คนมักจะสั่ง To go ไปที่บ้าน ก็เลยกว่าจะได้กินกัน ซึ่งมื้อนี้เจ้าของเค้าสั่งให้กินในร้านสองจานเลย เพราะเห็นผมนั่งแบ่งกับเพื่อน เค้าใจดีให้ข้าวผมกินฟรี ซึ่งเป็นข้าวผัดหมูที่อร่อยมากจานนึง ต้องขอบคุณร้านพี่เค้ามากๆ
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกพอสมควร แต่ว่าดีที่ได้บ้านเอาไว้แล้ว ทุกอย่างเลยลงตัวตั้งแต่คืนแรกๆ แต่ที่ไม่ชินก็คือ อากาศที่ยังมีความหนาวอยู่ ถึงแม้ LA จะเป็นเขตที่เค้าว่ากันว่าอากาศดีที่สุดในอเมริกา แต่สำหรับผมตอนนี้มันหนาวไป เสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่นมีอยู่บ้าง แต่ว่า ขาดเรื่องเครื่องนอน เพราะว่าเข้าบ้านมาดึกเกิน คืนแรกเลยจำเป็นจะต้องอาศัยบางอย่างของเพื่อนและของเท่าที่มีนอนไปก่อน หลังจากนั้นก็พยายามมองหาที่นอนที่ไม่แพงมาก และขนาดพอเหมาะกับการใช้งาน และที่สำคัญต้องเคลื่อยย้ายได้ง่าย บางทีเราไม่รู้หรอกว่าเราอาจจะต้องย้ายที่พักตอนไหน ทำตัวให้พร้อมไว้ก่อนก็ดี ห้องพักหลายที่ที่ราคาสูงหน่อยจะมีที่นอนมาให้ (สังเกตจากห้องเพื่อนบางคน)
เครือข่ายโทรศัพท์
เป็นปัจจัยต้นๆเลยที่จะต้องหาไว้ให้ได้ เนื่องจากเดิมผมใช้ iPhone4S ทำให้สามารถเอาใช้ที่นี่ได้เลยไม่มีปัญหาเรื่องของคลื่นความถี่ แต่ปัญหาคือ Carrier หรือผู้ให้บริการเครือข่ายมีมากมายเหลือเหิน ไม่ได้มีแค่ AIS Dtac True-move เหมือนบ้านเรา แรกๆไปก็งงเลยเพราะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรบ้าง และจนบัดนี้ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่หลังจากที่ใช้ได้พักนึง พอจจะสรุปคลื่นที่ผมพอจะรู้จักได้ดังนี้
- AT&T เสมือน AIS แพงกว่าชาวบ้านเค้าหน่อย แต่สัญญานจะดีกว่า ไปนอกเมือง (อย่าง Utah จะมีสัญญาณในขณะที่เครือข่ายอื่นมีปัญหาเล็กน้อย)
- T-mobile เสมือน Dtac-Truemove เนื่องจากราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เหมือนสัญญานจะแย่กว่านิดนึง ซึ่งผมเองไม่ได้ใช้เลยไม่มั่นใจ แต่ฟังจากที่เพื่อนๆบอก และจากการสัมผัสที่ไปเที่ยวนอกเมืองกัน
ค่าโทรศัพท์ที่นี่เริ่มต้นที่ $45 ซึ่งแพงกว่าผมใช้ที่เมืองไทย สามารถโทรและส่ง SMS ได้ไม่จำกัด แต่มาอยู่นี่ก็ไม่รู้จะโทรหาใครมากมาย Data ให้ 1GB ซื้อเพิ่ม GBละ $10 ด้วยความที่ที่นี่เป็น LTE ซึ่งเร็วกกว่าบ้านเรามาก มันเลยสูบ Data ผมไปเกลี้ยงตั้งแต่สัปดาห์แรกๆเลย แต่ว่าพอมันหมดก็จะลดความเร็วลงน่าจะเหลือประมาณ Edge บ้านเรา แต่ถามว่าใช้งานได้ไหม ก็พอใช้งานได้นะครับ ช้าบ้าง แต่ถ้าแค่เปิด Line ดูแผนที่บน google map หรือว่าดูเวลารถเมล์ผ่าน Go Metro ก็ได้อยู่ ที่สำคัญ facetime-voice ได้ไม่มีปัญหาเลย แม้จะเดินเข้าตึกก็ตาม
จะโทรกลับไทย
การโทรกลับไทยตอนแรกผมใช้ skype ซึ่งมีเงินเหลือจากการเติมเงินที่ไทย (2.3¢1/min) ซึ่งถือว่าไม่ค่อยแพง แต่ด้วยความที่เรานานๆโทรทีเราก็คุยนาน ทำให้เห็นเงิน $ ค่อยหายไปก็ตกใจ ด้วยความที่ว่าเราไม่มีรายได้ตอนนั้น จึงมองหาทางอื่น ปรากฏว่าที่นี่มีบัตรโทรศัพท์โทรกลับไทยด้วย rate ราคาน่าตกใจมากๆ เฉลี่ยชั่วโมงละ $1 ผมซื้อที่ร้านหนังสือดอกหญ้า ที่ Thaitown ราคา $5 สัญญานจะไม่ค่อยเท่าไร ตามราคา เสียงจะดีเลย์นิดนึง แต่ด้วยชั่วโมงที่จุใจทำให้ผมมองข้ามมันไปได้เลย สามารถโทรได้โดยผ่านเบอร์ local ของอเมริกา และจากนั้นใส่ pincode ตามที่ขูดได้ในบัตร จากนั้นกดเบอร์ปลายทางพร้อมรหัสประเทศ
**** เรื่องอื่นๆจะมาทยอยอัพเดท เพราะตอนเขียนมาอยู่ LA ได้สองอาทิตย์ แต่กว่าจะกลับมาเขียนก็ปาเข้าไปสองเดือนครับ ชีวิตที่นี่สนุก เบื่อ เศร้า และยุ่งมากๆเลย
เงินตั้งต้น
นั้นยังไม่มีสักบาทเลย ได้แต่มองดูเอกสาร และคอยคุยกับเพื่อนที่เค้าอาศัยต่างประเทศ ถามข้อมูลไปเรื่อยๆเพื่อเก็บไปฝันว่า สักวัน ฉันจะบินให้ถึงที่เราต้องการ
ผ่านไปจะ 10 ปี ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ ผมกำลังนั่งพิมพ์ blog เรื่องนี้อยู่ที่บ้านเล็กๆ แสนจะอบอุ่นใน Los angeles California สิ่งที่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องต่างที่เป็นอยู่ ค่อยๆเพิ่มเติมและได้คำตอบไปเองทีละอย่าง และในหลายๆอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ผมไม่สามารถรับรู้เรื่องที่เขาพูดๆกันได้อย่างถ่องแท้ หากวันนี้ไม่ได้มาอาศัยอยู่บนอีกซีกโลกหนึ่งของประเทศไทย และอยู่คนละ Timezone กับบ้านที่เราเกิดมา
พยายามจะเก็บข้อมูลและบันทึกเรื่องที่ค่อยๆเข้าใจมาทีละนิดเขียนเป็นข้อมูลเอาไว้ได้ทราบกัน ซึ่งหลายๆข้อมูลก็คงเป็นที่รู้กันบ้าง แต่ผมจะลองเขียนและแชร์ในมุมมองของผมเอาละกัน
ที่ด่านตรวจ
- WiFi อันดับแรกเลย สนามบิน LAX มี WiFi ให้ตั้งแต่ลงเครื่อง ซึ่งการได้มาซึ่ง Free-WiFi นี้ ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆนาๆ เราก็ทนอ่าน แล้วกดมันนิดนึง
- ของต้องสำแดง อาหารจำพวกไข่ ที่นี่หลายคนบอกว่าเอาเข้ามาไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่เสี่ยงอยู่แล้ว แต่มีประเด็นกับคำว่า food ที่เค้าให้สำแดง ผมมีน้ำพริก น้ำปลา โจ๊กซอง และมาม่าอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นประเทศไทยราวๆ ตี2 ผมถามเพื่อนที่ไทยไม่มีใครตื่นมาตอบเลย ก็ใช้เวลาระหว่างรอตรวจหาข้อมูลว่าควรหรือไม่ควรที่จะสำแดง
หลายๆคนในอินเตอร์เนต แนะนำให้แจ้ง เพราะเหมือนกับแสดงความซื่อสัตย์กับบ้านเมืองเค้า แต่เพื่อนและน้อง ที่อเมริการส่วนใหญ่ บอกว่าไม่ต้องบอก ในใจผมก็สั่น แต่ว่าก็พยายามมองว่าถ้าตรวจระหว่างบอกแต่แรกกับไม่บอกจะเป็นไง คิดอยู่นานหลายตลบก็เลยตัดสินใจไปว่า "บอกดีกว่า" ว่าแล้วก็กาในช่องมี food ให้สำแดง
แถวของศุลกากรที่นี่มีไม่เยอะประมาณ 4-5 แถว แต่คนรอยาวมาก จนในที่สุดก็ถึงตามผม ผมก็เลยยื่นเอกสารให้ และถามเป็นภาษาอังกฤษที่ยังไม่ค่อยแข็งแรงไปว่า
"ผมเอา Instant noodle มา เป็นอะไรไหม"
เจ้าหน้าพยายามเข้าใจและถามผมกลับมาว่า
"ไม่เป็นไร แล้วมีอย่างอื่นอีกหรือปล่าว"
ผมเริ่มดีใจ ที่ตัดสินใจบอก เพราะว่าอย่างมากเค้าก็แค่เอาของเราทิ้ง ถ้าเอาเข้าประเทศไม่ได้
"ผมมีน้ำปลาเข้ามาด้วย"
ถึงตอนนี้จะทิ้งน้ำปลาก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้ผ่านไปโดยไม่มีพิธีอะไรยุ่งยากเลย
- ภายนอกอาคาร เนื่องจาก LAX มีหลายอาคาร ออกมาก็บอกคนมารับนิดนึงครับว่าอยู่อาคารไหน หรือว่าส่วนใหญ่จะลงอาคารเดียวกันอยู่แล้วก็ไม่ทราบ
เพื่อน
ผมมีเพื่อนที่มาอยุ่ LA ได้ปีหนึ่งแล้ว เพื่อนคนนี้ขับรถมารับที่สนามบินเพื่อไปส่งที่บ้านที่พักด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่า วันที่ผมไปเป็นวันที่งานเค้ายุ่งมากๆ (ทำงานเป็น driver) ผมจะต้องติดรถเพื่อนไปตลอดเวลาจนกระทั่งเลิกงานประมาณ 4 ทุ่ม ถึงจะกลับบ้านพร้อมกันได้ ซึ่งตอนนั้นเรื่องการเดินทางไม่มีอยู่ในหัวเลย ไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลรถต่างๆ ก็เลยอาศัยรถเพื่อนเพื่อดูภายในเมืองไป
ร้านอาหารไทย ที่เพื่อนทำเจ้าของใจดีมาก และพบว่าผมโชคดีหรือว่ามีเพื่อนดีไม่รู้ ที่พบแต่คนดีๆ เพราะว่ามื้อแรกของที่นี่ ผมได้กินฟรี โดยเพื่อนผมแบ่งอาหารที่ปกติพนักงานจะสั่งได้มาให้ผมกิน ซึ่งอาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเยอะอยูแล้ว ผมก็เลยแบ่งกับเพื่อนกินกันสบายๆ
มื้อเย็น เป็นมื้อที่ดึกหน่อย เพราะว่าเพื่อนจะงานเยอะเนื่องจากเป็นวันที่ฝนตกช่วงเย็น คนมักจะสั่ง To go ไปที่บ้าน ก็เลยกว่าจะได้กินกัน ซึ่งมื้อนี้เจ้าของเค้าสั่งให้กินในร้านสองจานเลย เพราะเห็นผมนั่งแบ่งกับเพื่อน เค้าใจดีให้ข้าวผมกินฟรี ซึ่งเป็นข้าวผัดหมูที่อร่อยมากจานนึง ต้องขอบคุณร้านพี่เค้ามากๆ
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกพอสมควร แต่ว่าดีที่ได้บ้านเอาไว้แล้ว ทุกอย่างเลยลงตัวตั้งแต่คืนแรกๆ แต่ที่ไม่ชินก็คือ อากาศที่ยังมีความหนาวอยู่ ถึงแม้ LA จะเป็นเขตที่เค้าว่ากันว่าอากาศดีที่สุดในอเมริกา แต่สำหรับผมตอนนี้มันหนาวไป เสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่นมีอยู่บ้าง แต่ว่า ขาดเรื่องเครื่องนอน เพราะว่าเข้าบ้านมาดึกเกิน คืนแรกเลยจำเป็นจะต้องอาศัยบางอย่างของเพื่อนและของเท่าที่มีนอนไปก่อน หลังจากนั้นก็พยายามมองหาที่นอนที่ไม่แพงมาก และขนาดพอเหมาะกับการใช้งาน และที่สำคัญต้องเคลื่อยย้ายได้ง่าย บางทีเราไม่รู้หรอกว่าเราอาจจะต้องย้ายที่พักตอนไหน ทำตัวให้พร้อมไว้ก่อนก็ดี ห้องพักหลายที่ที่ราคาสูงหน่อยจะมีที่นอนมาให้ (สังเกตจากห้องเพื่อนบางคน)
เครือข่ายโทรศัพท์
เป็นปัจจัยต้นๆเลยที่จะต้องหาไว้ให้ได้ เนื่องจากเดิมผมใช้ iPhone4S ทำให้สามารถเอาใช้ที่นี่ได้เลยไม่มีปัญหาเรื่องของคลื่นความถี่ แต่ปัญหาคือ Carrier หรือผู้ให้บริการเครือข่ายมีมากมายเหลือเหิน ไม่ได้มีแค่ AIS Dtac True-move เหมือนบ้านเรา แรกๆไปก็งงเลยเพราะไม่รู้ว่าอะไรคืออะไรบ้าง และจนบัดนี้ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน แต่หลังจากที่ใช้ได้พักนึง พอจจะสรุปคลื่นที่ผมพอจะรู้จักได้ดังนี้
- AT&T เสมือน AIS แพงกว่าชาวบ้านเค้าหน่อย แต่สัญญานจะดีกว่า ไปนอกเมือง (อย่าง Utah จะมีสัญญาณในขณะที่เครือข่ายอื่นมีปัญหาเล็กน้อย)
- T-mobile เสมือน Dtac-Truemove เนื่องจากราคาจะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เหมือนสัญญานจะแย่กว่านิดนึง ซึ่งผมเองไม่ได้ใช้เลยไม่มั่นใจ แต่ฟังจากที่เพื่อนๆบอก และจากการสัมผัสที่ไปเที่ยวนอกเมืองกัน
ค่าโทรศัพท์ที่นี่เริ่มต้นที่ $45 ซึ่งแพงกว่าผมใช้ที่เมืองไทย สามารถโทรและส่ง SMS ได้ไม่จำกัด แต่มาอยู่นี่ก็ไม่รู้จะโทรหาใครมากมาย Data ให้ 1GB ซื้อเพิ่ม GBละ $10 ด้วยความที่ที่นี่เป็น LTE ซึ่งเร็วกกว่าบ้านเรามาก มันเลยสูบ Data ผมไปเกลี้ยงตั้งแต่สัปดาห์แรกๆเลย แต่ว่าพอมันหมดก็จะลดความเร็วลงน่าจะเหลือประมาณ Edge บ้านเรา แต่ถามว่าใช้งานได้ไหม ก็พอใช้งานได้นะครับ ช้าบ้าง แต่ถ้าแค่เปิด Line ดูแผนที่บน google map หรือว่าดูเวลารถเมล์ผ่าน Go Metro ก็ได้อยู่ ที่สำคัญ facetime-voice ได้ไม่มีปัญหาเลย แม้จะเดินเข้าตึกก็ตาม
จะโทรกลับไทย
การโทรกลับไทยตอนแรกผมใช้ skype ซึ่งมีเงินเหลือจากการเติมเงินที่ไทย (2.3¢1/min) ซึ่งถือว่าไม่ค่อยแพง แต่ด้วยความที่เรานานๆโทรทีเราก็คุยนาน ทำให้เห็นเงิน $ ค่อยหายไปก็ตกใจ ด้วยความที่ว่าเราไม่มีรายได้ตอนนั้น จึงมองหาทางอื่น ปรากฏว่าที่นี่มีบัตรโทรศัพท์โทรกลับไทยด้วย rate ราคาน่าตกใจมากๆ เฉลี่ยชั่วโมงละ $1 ผมซื้อที่ร้านหนังสือดอกหญ้า ที่ Thaitown ราคา $5 สัญญานจะไม่ค่อยเท่าไร ตามราคา เสียงจะดีเลย์นิดนึง แต่ด้วยชั่วโมงที่จุใจทำให้ผมมองข้ามมันไปได้เลย สามารถโทรได้โดยผ่านเบอร์ local ของอเมริกา และจากนั้นใส่ pincode ตามที่ขูดได้ในบัตร จากนั้นกดเบอร์ปลายทางพร้อมรหัสประเทศ
**** เรื่องอื่นๆจะมาทยอยอัพเดท เพราะตอนเขียนมาอยู่ LA ได้สองอาทิตย์ แต่กว่าจะกลับมาเขียนก็ปาเข้าไปสองเดือนครับ ชีวิตที่นี่สนุก เบื่อ เศร้า และยุ่งมากๆเลย
Tags:
food&travel