ตอนแรกที่เห็นว่าจะมีซีรีส์เรื่องนี้ ก็รู้เลยว่าจะต้องดู เพราะมันมีเพลง "First Love" ของ Utada Hikaru ซึ่งเป็นเพลงวัยมัธยมที่ฟังบ่อยมากตอนเพิ่งเริ่มฟังเพลงต่างประเทศใหม่ ๆ จนเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "แป๊ะ" แซวว่าผมแอบตกหลุมรักนักร้องไปแล้ว แต่ความจริงคือ ผมตกหลุมรักอารมณ์ในเสียงร้องของเธอมากกว่า แต่พอเป็นเด็กโดนล้อก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
พอมาถึงปี 2567 (2024) พอเห็นว่ามีซีรีส์นี้ขึ้นมา ก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศวัยมัธยม—ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยพลัง ความฝัน และความเดียงสา เพลง “First Love” ช่วยดึงบรรยากาศพวกนั้นกลับมาได้แทบหมด แม้กระทั่งภาพตอนโดนล้อ แต่แป๊ะก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาเคยให้ผมยืมนาฬิกา Casio G-cool ที่แพง (ตามระดับเด็กมัธยม) แค่ผมบอกว่าสวยดี เขาก็ถอดให้ยืมเลย
ในซีรีส์เองก็พูดตรง ๆ ว่าได้แรงบันดาลใจจากเพลง “First Love” ของ Utada Hikaru เช่นกัน
แม้ผมจะฟังเพลงญี่ปุ่นมานาน แต่ไม่เคยสนใจความหมายของเพลงนี้จริงจัง จนลองเอาเนื้อเพลงไปให้ ChatGPT แปล แล้วก็เซอร์ไพรส์ เพราะมันไม่ได้แปลแบบปกติ แต่มันเขียนตอบกลับมาแบบนี้:
ผมเลยลองให้มันแปลแบบตรง ๆ อีกครั้ง ได้ออกมาประมาณนี้:
พออ่านแล้วก็ตกใจอีกครั้ง เพราะมันดูลึกซึ้งมาก และมากกว่าที่เคยคิดไว้ และมันตรงกับความรู้สึกที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้เลย ความซับซ้อนของความรู้สึกในเพลงมันสะท้อนความรู้สึกของผมแบบตรงไปตรงมา เพลงนี้ออกช่วงมีนาคม ปี 1999 (พ.ศ. 2542) ซึ่งไทม์ไลน์ในซีรีส์ก็อยู่ช่วงใกล้เคียงกัน และตรงกับวัยของผมพอดี เลยรู้สึกอินมาก
การสารภาพรักเป็นเหมือนสิ่งที่ควรทำก่อนจบม.ปลาย
หนังอย่าง Titanic ต้องดูตอนเดต
และมีแนวคิดว่า "ถ้าใจยังไม่เข้าใจ ก็ปล่อยให้ร่างกายพาไป"
ฝันถึงการเดินทางต่างประเทศ และการมีพาสปอร์ตเล่มแรก
แถมบางคนรอบตัวแฟนก็ไม่ได้ชอบเรานัก บางทีเหมือนอยากให้เลิกกันด้วยซ้ำ
เราก็ได้แต่แต่งตัวให้ดีที่สุด ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
อีกฝ่ายอาจจะเดินตามฝันของตัวเอง โดยไม่มีเรารวมอยู่ในนั้น
สุดท้ายเราก็อยู่กันคนละที่ คนละโลก คนหนึ่งอยู่ที่เดิมแต่สังคมเปลี่ยน อีกคนอยู่ที่ใหม่และต้องปรับตัว
การคุยกันทุกวันกลายเป็นเหมือนฝันที่เริ่มไม่ make sense แล้วเมื่อเวลาผ่านไป
ความรู้สึกมันตีกันทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
บางทีถ้าไม่เจออาจจะดีกว่า แต่พอเจอก็เหมือนเป็นของขวัญจากโชคชะตา
ปล่อยให้เวลาเยียวยา
แต่แล้วเหตุการณ์ที่เกิดกับเพื่อนก่อนเราก็เหมือนตบหน้าให้ตื่น เลิกคิดบ้า ๆ แล้วเดินหน้าต่อ
ไม่ใช่ฝืนเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสังคมของเค้า
พอมาถึงปี 2567 (2024) พอเห็นว่ามีซีรีส์นี้ขึ้นมา ก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศวัยมัธยม—ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยพลัง ความฝัน และความเดียงสา เพลง “First Love” ช่วยดึงบรรยากาศพวกนั้นกลับมาได้แทบหมด แม้กระทั่งภาพตอนโดนล้อ แต่แป๊ะก็เป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาเคยให้ผมยืมนาฬิกา Casio G-cool ที่แพง (ตามระดับเด็กมัธยม) แค่ผมบอกว่าสวยดี เขาก็ถอดให้ยืมเลย
ในซีรีส์เองก็พูดตรง ๆ ว่าได้แรงบันดาลใจจากเพลง “First Love” ของ Utada Hikaru เช่นกัน
แม้ผมจะฟังเพลงญี่ปุ่นมานาน แต่ไม่เคยสนใจความหมายของเพลงนี้จริงจัง จนลองเอาเนื้อเพลงไปให้ ChatGPT แปล แล้วก็เซอร์ไพรส์ เพราะมันไม่ได้แปลแบบปกติ แต่มันเขียนตอบกลับมาแบบนี้:
“การแปลเพลงนี้ไปเป็นภาษาไทยยากนิดนึงเพราะความหมายและความรู้สึกของมัน ถ้าจะเริ่มต้นที่ช่วงแรก มันพูดถึงการจูบครั้งสุดท้ายที่มีรสชาติของบุหรี่ กลิ่นที่ขมและเจ็บปวด รอบๆพรุ่งนี้ คุณคงอยู่ที่ไหน คุณคงคิดถึงใคร คุณจะเป็นความรักของฉันตลอดไป แม้ว่าในอนาคต ฉันอาจพบคนใหม่และตกหลุมรักใครบางคน แต่ฉันจะรู้ว่าต้องรัก เพราะคุณสอนฉันอย่างได้เจ็บหนัก คุณจะเป็นคนเดียวที่ฉันจะรักตลอดไป และตอนนี้ยังมีเพลงเศร้าอยู่ จนกระทั่งฉันสามารถร้องเพลงเพลงใหม่ได้ เธอจะอยู่ในใจฉันตลอดไป มีที่ในใจของคุณไหม ตอนนี้และตลอดไป”
ผมเลยลองให้มันแปลแบบตรง ๆ อีกครั้ง ได้ออกมาประมาณนี้:
“ความจุมพิตสุดท้ายรสของบุหรี่ กลิ่นที่หอมหวานและเจ็บปวด
ในเวลาเช้าพรุ่งนี้ คุณจะอยู่ที่ไหน คุณคิดถึงใคร
คุณจะเป็นรักสุดท้ายของฉันตลอดไป
แม้ว่าในอนาคต ฉันอาจหลงรักใครสักคน
ฉันจะรู้จะรัก
คุณสอนฉันได้อย่างไร
คุณจะเป็นคนสำคัญตลอดไป
เพลงเศร้าในขณะนี้ เป็นเพลงรักใหม่ ที่ฉันสามารถร้องได้
เวลาที่หยุดนิ่ง เริ่มเคลื่อนไหว เพียงความทรงจำที่ไม่อยากลืม
ในเวลาเช้าพรุ่งนี้ ฉันคงจะร้องไห้ คุณอาจจะคิดถึงฉันได้
คุณจะอยู่ในใจฉันตลอดไป
เพราะว่ามีที่สำหรับคุณอยู่เสมอ
ฉันหวังว่าฉันจะมีที่อยู่ในใจของคุณด้วย
ตอนนี้และตลอดไป คุณยังคงเป็นคนสำคัญของฉัน
เพลงเศร้าในขณะนี้
เป็นเพลงรักใหม่ ที่ฉันสามารถร้องได้
คุณจะเป็นรักสุดท้ายของฉันตลอดไป
เพลงเศร้าอยู่ยังในขณะนี้”
พออ่านแล้วก็ตกใจอีกครั้ง เพราะมันดูลึกซึ้งมาก และมากกว่าที่เคยคิดไว้ และมันตรงกับความรู้สึกที่มีต่อซีรีส์เรื่องนี้เลย ความซับซ้อนของความรู้สึกในเพลงมันสะท้อนความรู้สึกของผมแบบตรงไปตรงมา เพลงนี้ออกช่วงมีนาคม ปี 1999 (พ.ศ. 2542) ซึ่งไทม์ไลน์ในซีรีส์ก็อยู่ช่วงใกล้เคียงกัน และตรงกับวัยของผมพอดี เลยรู้สึกอินมาก
First Love
“รักแรก” ของผม ไม่ได้เกิดในช่วงเวลาเดียวกับเพลงหรือซีรีส์ และอาจจะไม่ใช่ First Love ที่แท้จริงด้วยซ้ำ ช่วงมัธยมเป็นช่วงที่เพื่อน ๆ เริ่มมีแฟน แต่ต้องเป็นสาวต่างโรงเรียน เพราะโรงเรียนผมเป็นชายล้วนการสารภาพรักเป็นเหมือนสิ่งที่ควรทำก่อนจบม.ปลาย
หนังอย่าง Titanic ต้องดูตอนเดต
และมีแนวคิดว่า "ถ้าใจยังไม่เข้าใจ ก็ปล่อยให้ร่างกายพาไป"
“To find out if it’s really fate, you just have to jump in.”
บรรยากาศมหาวิทยาลัย
บรรยากาศในซีรีส์ก็เหมือนช่วงชีวิตมหา'ลัยของผม หอประชุมใหญ่ ผนังอิฐแบบลาดกระบังฝันถึงการเดินทางต่างประเทศ และการมีพาสปอร์ตเล่มแรก
Amatriciana and Chianti
การเข้ากับเพื่อนแฟนไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา มีหลายครั้งที่รู้สึกว่าเราไม่เข้ากับวิถีชีวิตของเค้าเลย แม้แต่เรื่องกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องเรียนรู้ใหม่หมดแถมบางคนรอบตัวแฟนก็ไม่ได้ชอบเรานัก บางทีเหมือนอยากให้เลิกกันด้วยซ้ำ
เราก็ได้แต่แต่งตัวให้ดีที่สุด ทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
Long Distance Relationship
ความสัมพันธ์ทางไกลยากเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่างประเทศ เวลาต่างกัน วัฒนธรรมต่างกันอีกฝ่ายอาจจะเดินตามฝันของตัวเอง โดยไม่มีเรารวมอยู่ในนั้น
สุดท้ายเราก็อยู่กันคนละที่ คนละโลก คนหนึ่งอยู่ที่เดิมแต่สังคมเปลี่ยน อีกคนอยู่ที่ใหม่และต้องปรับตัว
การคุยกันทุกวันกลายเป็นเหมือนฝันที่เริ่มไม่ make sense แล้วเมื่อเวลาผ่านไป
Napolitan
ไม่มีอะไรเศร้ากว่าการที่คนที่เคยรักลืมเรา หรือแกล้งลืมความรู้สึกมันตีกันทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
บางทีถ้าไม่เจออาจจะดีกว่า แต่พอเจอก็เหมือนเป็นของขวัญจากโชคชะตา
ปล่อยให้เวลาเยียวยา
One Last Ride
บางช่วงชีวิต เราอาจรู้สึกไม่กลัวความตาย เพราะไม่แน่ใจว่าเลือกทางที่ถูกหรือเปล่าแต่แล้วเหตุการณ์ที่เกิดกับเพื่อนก่อนเราก็เหมือนตบหน้าให้ตื่น เลิกคิดบ้า ๆ แล้วเดินหน้าต่อ
“When things are tough, just look up at the sky.
Another version of yourself is traveling through outer space.”
ถ้าคนที่ใช่ ยังไงก็ใช่
คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับเค้า รักในสิ่งที่เค้ารักไม่ใช่ฝืนเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสังคมของเค้า
การย้อนนึกถึงอดีต
บางครั้งช่วยให้เราลืมความเจ็บปวด แต่บางครั้งก็ทำให้เจ็บซ้ำ
Inner power of kelt
เมื่อโตขึ้น เราจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ลึกซึ้งขึ้น แล้วมันจะ taste betterWhat your life would have been like
ถ้าเราไม่ได้คบกับคนนั้น ชีวิตเราจะเป็นยังไง?
คำถามง่าย ๆ ที่ไม่มีคำตอบ
ห้อง 633 สมัยผมอยู่ ม.ปลาย มันมี culute แปลกแต่ดีอันนึงคือจะมีรุ่นพี่ 633 ปีก่อนที่เพิ่งจบไปจะขอมาเยี่ยมน้อง (ผม) และให้คำปรึกษา พูดคุยแบบกันเอง เกี่ยวกับชีวิตมหาลัยแต่ละคณะ และมีรุ่นพี่คนนึงที่ดูเท่มาก ๆ เข้ามาวันแนะแนวสาย ๆ ทำสีผม มาถึงก็นอนบอกว่าเหนื่อย ดูไม่เหมือนใคร แล้วแนะนำตัวว่าเรียนสถาปัตย์ลาดกระบัง บอกว่าจะพาไปทัวร์ถ้าเราแวะไปหา ...... และผมก็ตามไปจริงๆ
ก่อนหน้านั้นเรายังเบรกได้ แต่หลังจากนั้นไม่มีทางกลับ
คำถามง่าย ๆ ที่ไม่มีคำตอบ
Future Career Questionnaire
ช่วง ม.ปลาย คนจะพูดกันเยอะเรื่องว่าโตไปอยากเป็นอะไรห้อง 633 สมัยผมอยู่ ม.ปลาย มันมี culute แปลกแต่ดีอันนึงคือจะมีรุ่นพี่ 633 ปีก่อนที่เพิ่งจบไปจะขอมาเยี่ยมน้อง (ผม) และให้คำปรึกษา พูดคุยแบบกันเอง เกี่ยวกับชีวิตมหาลัยแต่ละคณะ และมีรุ่นพี่คนนึงที่ดูเท่มาก ๆ เข้ามาวันแนะแนวสาย ๆ ทำสีผม มาถึงก็นอนบอกว่าเหนื่อย ดูไม่เหมือนใคร แล้วแนะนำตัวว่าเรียนสถาปัตย์ลาดกระบัง บอกว่าจะพาไปทัวร์ถ้าเราแวะไปหา ...... และผมก็ตามไปจริงๆ
Most beautiful word in Japanese
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพ่อแม่อีกฝ่ายไม่ชอบ หรือเรียกไปตำหนิ“It’s hell on Earth to keep driving knowing it’s really just a wrong turn.”
A speed that can split fate
เมื่อเครื่องบินวิ่งถึง V1 แล้ว เราต้องบินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นเรายังเบรกได้ แต่หลังจากนั้นไม่มีทางกลับ
Apparently there js a good ramen place nearby
ผมจำตรงนี้ได้ไม่ชัดเท่าไร แต่ก็ ชอบ วลีนี้มากๆ เพราะความรักครั้งสุดท้ายผมก็เริ่มคล้ายไม่เหมือนกันซะทีเดียวกับวลีประมาณนี้“If we cannot meet, you have a wonderful life, alright.”
Tags:
BLOG