การเล่าเรื่องผ่านวิดีโอเกม: สะพานเชื่อมยุค 90 กับโลกปัจจุบัน
ธีมของหนังที่พูดถึงโลกยุคใหม่ที่พังพินาศก็ชัดเจนว่าเป็นการวิจารณ์ระบบทุนนิยมแบบโต้ง ๆ ระบบที่คุณยินยอมให้มันควบคุม ทั้งที่มันลดทอนความเป็นมนุษย์ของคุณอย่างสิ้นเชิง ความยินยอมของคุณก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยระบบนั่นแหละ—ระบบที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องจักรซึ่งไม่แคร์เลยว่าคุณจะอยู่หรือตาย ขอแค่คุณชินชากับความว่างเปล่าภายใน แล้วปล่อยให้พวกมันดูดพลังชีวิตคุณไปก็พอ ไตรภาคนี้เหมือนผสมผสานระหว่างการวิจารณ์ทุนนิยมแบบ Noam Chomsky กับแนวคิดเหนือมนุษย์ของ Nietzsche
“ความจริงคือภาพลวงตา” เป็นรากฐานของแนวคิดแบบทฤษฎีสมคบคิด มันไม่ยากเลยที่จะลากเส้นจาก “เครื่องจักรกดขี่มนุษย์” ไปถึงอะไรแบบ QAnon The Matrix ไม่ใช่ต้นทางของทฤษฎีเหล่านี้หรอก แต่หนังมันทำงานได้ดีมากในฐานะอุปมาอุปไมยสำหรับความรู้สึกว่า “ชีวิตมันขาดอะไรบางอย่าง และมีใครบางคนกำลังปิดบังความจริงที่สำคัญจากเราอยู่”
ในยุคนี้ แค่แนวคิดที่ว่า “คุณอาจได้รับยาเม็ดหนึ่งหรือข้อมูลบางอย่างที่จะปลุกให้คุณตื่นขึ้นมาและเข้าใจความว่างเปล่าของยุคสมัยนี้” ก็ทรงพลังมากแล้ว
ในช่วงต้นของเรื่อง, Neo ยังไม่ได้รู้ตัวว่าเขาคือ Neo ตัวจริงจากโลกเดิมที่เคยพยายามต่อสู้กับระบบเมทริกซ์เลย เขามีชีวิตธรรมดาเหมือนกับคนทั่วไป มีการทำงานที่บ้านออกแบบเกม และใช้ชีวิตกับสภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ตัวละครที่ชื่อ The Analyst (Neil Patrick Harris) กลับคอยยืนยันในภาคนี้ว่าโลกทั้งหมดนั้นถูกควบคุมโดยระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง เมทริกซ์ เป็นเหมือน “การจัดการความทรงจำ” ที่ทำให้คนในโลกนี้ลืมความจริง
The Analyst ยังใช้ระบบที่สามารถ คาดเดา และ ตอบสนอง ต่อความต้องการของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความพึงพอใจทางอารมณ์ เช่น ความพึงพอใจในความทรงจำเก่าๆ (เช่น การย้อนกลับไปในช่วงเวลาเก่า ๆ ที่ตัวละครเคยมีความสุข) หรือการกระตุ้นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึก เชื่อมโยงกับบางสิ่ง แม้ว่าจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม การควบคุมอารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่การดึงดูดความรู้สึกหรือความต้องการพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ ตอกย้ำความทรงจำ ที่เป็นที่รู้จักและมีคุณค่าทางอารมณ์แก่ผู้คน โดยในกรณีของ Neo และ Trinity, The Analyst ใช้ความรักและความทรงจำร่วมของพวกเขาในการกระตุ้นความรู้สึกที่ทำให้พวกเขายังคงหลงใหลในสิ่งที่ระบบต้องการให้พวกเขาหลงรัก
ในแง่นี้, The Matrix Resurrections ไม่ได้เป็นแค่ภาพของการควบคุมที่มองเห็นได้ชัดเจนในทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความสามารถของระบบในการ จัดการความรู้สึก และ อารมณ์ ของมนุษย์เพื่อให้พวกเขายังคงมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว ซึ่งการใช้ อารมณ์ ในการควบคุมกลายเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกที่ไม่มีทางออก
ในบทวิจารณ์ของ Kunzelman, เขายกประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงว่าโลกใน The Matrix Resurrections นั้นไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแสดงออกถึง การกระทำ และ การต่อสู้ แต่ยังเน้นการสะท้อนถึง การมีตัวตน และ การค้นหาความหมายในชีวิต เมื่อ Neo ต้องต่อสู้กับตัวเองและโลกที่เขาเชื่อว่าเป็นความจริงที่ถูกหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา
การใช้ "The One" เพื่อแสดงถึงการต่อสู้กับการควบคุม ในตอนท้ายของหนัง, Trinity ไม่ได้แค่ช่วย Neo แต่ยังเป็นผู้ที่มี บทบาทสำคัญ ในการทำลายการควบคุมของเมทริกซ์ ซึ่งเป็นการแสดงถึง พลังการร่วมมือ และ ความสำคัญของการปรับตัว เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เลือกด้วยตัวเอง การที่ Trinity กลายเป็นส่วนสำคัญในภาคนี้ อาจเป็นการสื่อถึง การแบ่งปันพลังและการร่วมมือ ซึ่งอาจมีความหมายสะท้อนกับ การปฏิรูปสังคม ที่ต้องการความร่วมมือมากกว่าการต่อสู้เพียงลำพัง
ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง Neo และ Trinity เป็นการกลับมาของอารมณ์ที่ มีความหมาย ในการต่อสู้และการรักที่ยังคงอยู่แม้เวลาจะผ่านไป ภาพที่ Trinity ถูกฟื้นคืนชีพ และการกลับมามีบทบาทสำคัญในตอนท้ายสะท้อนถึง การตื่นขึ้นของพลังภายใน ของตัวละคร ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแค่การกลับมาในเชิงกายภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการ รับรู้และเข้าใจ ความสำคัญของการมีตัวตนและการเลือก
ความทรงจำและการตอกย้ำความรัก ในหลายฉาก, การที่ Neo และ Trinity กลับมาพบกันใหม่ เป็นการสื่อถึงการ ฟื้นฟูความทรงจำ และการตอกย้ำถึง ความรัก ที่เคยมีต่อกันในภาคก่อน โดยเฉพาะการที่ทั้งสองตัวละครมีความทรงจำร่วมกันจากโลกเมทริกซ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ "รู้จักกัน" แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ถูกนำมาใช้เป็นจุดแข็งในกระบวนการทำลายเมทริกซ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่อง ความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์และการต่อสู้กับระบบ ที่ควบคุมชีวิตมนุษย์
มุมมองส่วนตัว ผมมองเป็นเหมือนหนังแอบทำมาให้เป็นแนวแซวแบบเรื่องผัวๆเมียๆ ที่จริงๆแล้วเมียใหญ่กว่าเสมอ ที่นีโอในเรื่องดูเรียบร้อยไปเลยเมื่อเทียบกับ Trinity
ในโลกของเมทริกซ์, สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การควบคุมทางกายภาพหรือเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึง การควบคุมทางจิตใจ ซึ่ง Neo และ Trinity กลายเป็นตัวแทนของการต่อต้าน ระบบที่บิดเบือนความจริง และ การควบคุมความหวังของผู้คน ให้กลายเป็นสินค้าหรือสิ่งที่ซื้อขายได้ในตลาดของสังคมทุนนิยม ตัวอย่างเช่นในภาพที่พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อคืนความเป็นจริงให้กับโลก เมทริกซ์ไม่ได้แค่ทำให้พวกเขาติดกับดักในโลกเสมือนจริง แต่ยังบิดเบือนความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่เป็นแค่ภาพลวงตา
ในโลกปัจจุบัน, ทุนนิยมทำให้ผู้คนกลายเป็นเหมือนสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านวิธีที่เมทริกซ์จัดการกับผู้คนโดยการให้ความหวังและอุดมการณ์ต่างๆ ที่ผู้คนสามารถ "ซื้อ" หรือ "เข้าถึง" ได้ในแบบที่พวกเขาต้องการ แต่ความหวังเหล่านั้นก็ถูกจำกัดให้กลายเป็นสิ่งที่ ไม่ได้มาจากการเลือกของตัวเอง เช่นเดียวกับในสังคมทุนนิยมที่มักจะถูกขับเคลื่อนด้วยการบริโภคและผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขามีอำนาจในการเลือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เลือกอะไรเองเลย แต่ถูกควบคุมผ่านความต้องการที่ระบบสร้างขึ้นให้พวกเขาเชื่อ
คำพูดของ McKenzie Wark ที่ว่า "โลกที่เราอาศัยอยู่ไม่ใช่โลกที่เป็นอิสระ แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยกฎที่เราต้องทำตาม" สอดคล้องกับแนวคิดใน The Matrix Resurrections ที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกของเมทริกซ์และโลกจริงต่างมีลักษณะการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน โดยที่ในทั้งสองโลก, กฎและข้อบังคับที่ผู้คนต้องทำตามนั้นเป็นสิ่งที่ ไม่ได้ถูกเลือกโดยตัวบุคคล แต่ถูก กำหนดโดยระบบ ที่ใหญ่กว่า ทั้ง Neo และ Trinity จึงไม่ต่างจากตัวละครในโลกของเรา ที่ต้องต่อสู้เพื่อ ความอิสระ และ ความสามารถในการเลือก ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกชีวิตหรือการเลือกหนทางในสังคม
“ความจริงคือภาพลวงตา” เป็นรากฐานของแนวคิดแบบทฤษฎีสมคบคิด มันไม่ยากเลยที่จะลากเส้นจาก “เครื่องจักรกดขี่มนุษย์” ไปถึงอะไรแบบ QAnon The Matrix ไม่ใช่ต้นทางของทฤษฎีเหล่านี้หรอก แต่หนังมันทำงานได้ดีมากในฐานะอุปมาอุปไมยสำหรับความรู้สึกว่า “ชีวิตมันขาดอะไรบางอย่าง และมีใครบางคนกำลังปิดบังความจริงที่สำคัญจากเราอยู่”
ในยุคนี้ แค่แนวคิดที่ว่า “คุณอาจได้รับยาเม็ดหนึ่งหรือข้อมูลบางอย่างที่จะปลุกให้คุณตื่นขึ้นมาและเข้าใจความว่างเปล่าของยุคสมัยนี้” ก็ทรงพลังมากแล้ว
การกลับมาของเมทริกซ์: การสร้างใหม่จากความทรงจำที่ถูกลืม
The Matrix Resurrections เป็นการกลับมาของโลกที่เราคุ้นเคยจากภาคแรกๆ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมที่เราเคยรู้จัก ภาคนี้พยายามเล่าเรื่องผ่านการใช้ตัวละครหลักที่มีความทรงจำสูญหาย โดยที่ Neo (Keanu Reeves) กลายเป็นชายผู้ลืมตัวตนของเขาเอง และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะนักออกแบบเกมที่ชื่อ Mr. Anderson ที่ทำงานให้กับบริษัทใหญ่ แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นกลับมีความหมายที่ใหญ่กว่าที่เขารู้ในช่วงต้นของเรื่อง, Neo ยังไม่ได้รู้ตัวว่าเขาคือ Neo ตัวจริงจากโลกเดิมที่เคยพยายามต่อสู้กับระบบเมทริกซ์เลย เขามีชีวิตธรรมดาเหมือนกับคนทั่วไป มีการทำงานที่บ้านออกแบบเกม และใช้ชีวิตกับสภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ตัวละครที่ชื่อ The Analyst (Neil Patrick Harris) กลับคอยยืนยันในภาคนี้ว่าโลกทั้งหมดนั้นถูกควบคุมโดยระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง เมทริกซ์ เป็นเหมือน “การจัดการความทรงจำ” ที่ทำให้คนในโลกนี้ลืมความจริง
เมทริกซ์ใหม่: การควบคุมและการหลอกลวง
ในภาคนี้, The Analyst พยายามทำให้ระบบ เมทริกซ์ ดูเหมือนเป็นสถานที่ที่มนุษย์ยังคงมีอิสระในการตัดสินใจ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือการ จัดการกับอารมณ์ โดยการนำเสนอความรู้สึกที่มนุษย์ต้องการ เช่น ความโกรธ, ความรัก, ความเครียด, และความสุข เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีการควบคุมและเลือกได้ แต่แท้จริงแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นถูกปล่อยออกมาในเวลาที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดพวกเขาเข้าสู่กับดักของระบบThe Analyst ยังใช้ระบบที่สามารถ คาดเดา และ ตอบสนอง ต่อความต้องการของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความพึงพอใจทางอารมณ์ เช่น ความพึงพอใจในความทรงจำเก่าๆ (เช่น การย้อนกลับไปในช่วงเวลาเก่า ๆ ที่ตัวละครเคยมีความสุข) หรือการกระตุ้นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนรู้สึก เชื่อมโยงกับบางสิ่ง แม้ว่าจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม การควบคุมอารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายความแค่การดึงดูดความรู้สึกหรือความต้องการพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการ ตอกย้ำความทรงจำ ที่เป็นที่รู้จักและมีคุณค่าทางอารมณ์แก่ผู้คน โดยในกรณีของ Neo และ Trinity, The Analyst ใช้ความรักและความทรงจำร่วมของพวกเขาในการกระตุ้นความรู้สึกที่ทำให้พวกเขายังคงหลงใหลในสิ่งที่ระบบต้องการให้พวกเขาหลงรัก
ในแง่นี้, The Matrix Resurrections ไม่ได้เป็นแค่ภาพของการควบคุมที่มองเห็นได้ชัดเจนในทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความสามารถของระบบในการ จัดการความรู้สึก และ อารมณ์ ของมนุษย์เพื่อให้พวกเขายังคงมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมทุกอย่างไว้แล้ว ซึ่งการใช้ อารมณ์ ในการควบคุมกลายเป็นเครื่องมือที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกที่ไม่มีทางออก
ในบทวิจารณ์ของ Kunzelman, เขายกประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงว่าโลกใน The Matrix Resurrections นั้นไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแสดงออกถึง การกระทำ และ การต่อสู้ แต่ยังเน้นการสะท้อนถึง การมีตัวตน และ การค้นหาความหมายในชีวิต เมื่อ Neo ต้องต่อสู้กับตัวเองและโลกที่เขาเชื่อว่าเป็นความจริงที่ถูกหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา
การปรับตัวของตัวละคร: พลังของการกลับมาของ Trinity
ในขณะที่ Neo ถูกดึงกลับไปสู่โลกที่เขาเคยหลบหนีมาแล้ว, Trinity (Carrie-Anne Moss) กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างนี้เช่นเดียวกัน ในบทวิจารณ์ของ Kunzelman, เขาได้กล่าวถึงการที่ทั้งสองตัวละครมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และการกลับมาของพวกเขาไม่ได้เป็นแค่การกลับมาของ ฮีโร่ หรือ การคืนชีพ ของตัวละครที่เรารู้จักกันดีจากภาคก่อน แต่กลับเป็นการสร้างสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ช่วยให้พวกเขาสามารถโค่นล้มระบบที่ยังคงควบคุมพวกเขาอยู่ได้สัญลักษณ์ในการกลับมาของ Trinity
ใน The Matrix Resurrections, การกลับมาของ Neo และ Trinity ไม่ใช่แค่การพยายามจุดประกายการต่อต้านใหม่ แต่ยังเป็นการสื่อถึงความรักที่มีต่อกัน และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นสู้กับการกดขี่ที่เกิดขึ้นในโลกใหม่ของเมทริกซ์ได้ และการสลับบทบาทระหว่าง Neo และ Trinity ในภาคนี้, Trinity กลายเป็น "The One" หรือ ผู้มีพลังพิเศษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนบทบาทจากภาคก่อนที่ Neo เป็นผู้ที่มีพลังพิเศษสูงสุดในโลกเมทริกซ์ จุดนี้เป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับใน ความสำคัญของทั้งคู่ ในการต่อสู้กับระบบที่ควบคุมอยู่ โดยทั้งสองตัวละครมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่งช่วยเสริมพลังของกันและกันในการต่อสู้กับการควบคุมที่ถูกกดทับการใช้ "The One" เพื่อแสดงถึงการต่อสู้กับการควบคุม ในตอนท้ายของหนัง, Trinity ไม่ได้แค่ช่วย Neo แต่ยังเป็นผู้ที่มี บทบาทสำคัญ ในการทำลายการควบคุมของเมทริกซ์ ซึ่งเป็นการแสดงถึง พลังการร่วมมือ และ ความสำคัญของการปรับตัว เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้เลือกด้วยตัวเอง การที่ Trinity กลายเป็นส่วนสำคัญในภาคนี้ อาจเป็นการสื่อถึง การแบ่งปันพลังและการร่วมมือ ซึ่งอาจมีความหมายสะท้อนกับ การปฏิรูปสังคม ที่ต้องการความร่วมมือมากกว่าการต่อสู้เพียงลำพัง
ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง Neo และ Trinity เป็นการกลับมาของอารมณ์ที่ มีความหมาย ในการต่อสู้และการรักที่ยังคงอยู่แม้เวลาจะผ่านไป ภาพที่ Trinity ถูกฟื้นคืนชีพ และการกลับมามีบทบาทสำคัญในตอนท้ายสะท้อนถึง การตื่นขึ้นของพลังภายใน ของตัวละคร ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแค่การกลับมาในเชิงกายภาพ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการ รับรู้และเข้าใจ ความสำคัญของการมีตัวตนและการเลือก
ความทรงจำและการตอกย้ำความรัก ในหลายฉาก, การที่ Neo และ Trinity กลับมาพบกันใหม่ เป็นการสื่อถึงการ ฟื้นฟูความทรงจำ และการตอกย้ำถึง ความรัก ที่เคยมีต่อกันในภาคก่อน โดยเฉพาะการที่ทั้งสองตัวละครมีความทรงจำร่วมกันจากโลกเมทริกซ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ "รู้จักกัน" แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ถูกนำมาใช้เป็นจุดแข็งในกระบวนการทำลายเมทริกซ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่อง ความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์และการต่อสู้กับระบบ ที่ควบคุมชีวิตมนุษย์
มุมมองส่วนตัว ผมมองเป็นเหมือนหนังแอบทำมาให้เป็นแนวแซวแบบเรื่องผัวๆเมียๆ ที่จริงๆแล้วเมียใหญ่กว่าเสมอ ที่นีโอในเรื่องดูเรียบร้อยไปเลยเมื่อเทียบกับ Trinity
อีกจุดนึงก็คือเธอยังถูก set ให้ลงไหลใน Ducati อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่ Ducati 996 แต่เป็น Scrambler 1100 Pro
การเล่นกับตัวเอง: เมทริกซ์ในฐานะที่เป็นการ “แซว” ตัวเอง
Kunzelman ยังได้ชี้ให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มีการ เล่นกับตัวเอง โดยการที่ตัวละครต่าง ๆ มักพูดถึงโลกที่พวกเขาเคยรู้จักอย่างไม่จริงจัง ตัวละครหลักไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความจริงในโลกที่พวกเขาไม่สามารถหนีได้ แต่ยังมีการตั้งคำถามถึงสิ่งที่โลกเหล่านี้เป็นจริงๆ พูดง่ายๆ คือหนังทำให้เราเห็นว่าโลกที่เราเคยรักและรู้จักใน The Matrix กลับกลายเป็นสิ่งที่กำลังถูกตั้งคำถามและตั้งข้อสังเกตใหม่การสู้กับระบบ: ความหมายที่สะท้อนถึงสังคมปัจจุบัน
การต่อสู้กับระบบที่ปรากฏในหนังสะท้อนถึง ทฤษฎีสังคม และ การวิพากษ์การควบคุมในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของ ทุนนิยม และ การควบคุมจิตใจ ที่สะท้อนผ่านระบบเมทริกซ์ ซึ่งทำให้ผู้คนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรที่ไม่สามารถหลบหนีได้ในโลกของเมทริกซ์, สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การควบคุมทางกายภาพหรือเทคโนโลยี แต่ยังสะท้อนถึง การควบคุมทางจิตใจ ซึ่ง Neo และ Trinity กลายเป็นตัวแทนของการต่อต้าน ระบบที่บิดเบือนความจริง และ การควบคุมความหวังของผู้คน ให้กลายเป็นสินค้าหรือสิ่งที่ซื้อขายได้ในตลาดของสังคมทุนนิยม ตัวอย่างเช่นในภาพที่พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อคืนความเป็นจริงให้กับโลก เมทริกซ์ไม่ได้แค่ทำให้พวกเขาติดกับดักในโลกเสมือนจริง แต่ยังบิดเบือนความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่เป็นแค่ภาพลวงตา
ในโลกปัจจุบัน, ทุนนิยมทำให้ผู้คนกลายเป็นเหมือนสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านวิธีที่เมทริกซ์จัดการกับผู้คนโดยการให้ความหวังและอุดมการณ์ต่างๆ ที่ผู้คนสามารถ "ซื้อ" หรือ "เข้าถึง" ได้ในแบบที่พวกเขาต้องการ แต่ความหวังเหล่านั้นก็ถูกจำกัดให้กลายเป็นสิ่งที่ ไม่ได้มาจากการเลือกของตัวเอง เช่นเดียวกับในสังคมทุนนิยมที่มักจะถูกขับเคลื่อนด้วยการบริโภคและผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขามีอำนาจในการเลือก แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้เลือกอะไรเองเลย แต่ถูกควบคุมผ่านความต้องการที่ระบบสร้างขึ้นให้พวกเขาเชื่อ
คำพูดของ McKenzie Wark ที่ว่า "โลกที่เราอาศัยอยู่ไม่ใช่โลกที่เป็นอิสระ แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วยกฎที่เราต้องทำตาม" สอดคล้องกับแนวคิดใน The Matrix Resurrections ที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกของเมทริกซ์และโลกจริงต่างมีลักษณะการควบคุมที่คล้ายคลึงกัน โดยที่ในทั้งสองโลก, กฎและข้อบังคับที่ผู้คนต้องทำตามนั้นเป็นสิ่งที่ ไม่ได้ถูกเลือกโดยตัวบุคคล แต่ถูก กำหนดโดยระบบ ที่ใหญ่กว่า ทั้ง Neo และ Trinity จึงไม่ต่างจากตัวละครในโลกของเรา ที่ต้องต่อสู้เพื่อ ความอิสระ และ ความสามารถในการเลือก ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกชีวิตหรือการเลือกหนทางในสังคม
การต่อสู้ในระบบที่ไม่อาจหลีกหนีได้
ดังนั้น, The Matrix Resurrections จึงไม่ใช่แค่หนังเกี่ยวกับการต่อสู้ในโลกเสมือนจริง, แต่มันเป็นการ วิพากษ์วิจารณ์ สังคมและระบบที่ทำให้เรามีความหวัง แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับถูก บังคับให้เลือกในสิ่งที่ระบบตั้งขึ้น โดยไม่มีอิสระในการตัดสินใจจริงๆ เหมือนกับการที่ Neo และ Trinity ต้องต่อสู้เพื่อหาทางหลีกหนีจากเมทริกซ์ที่เต็มไปด้วยการบิดเบือนความจริง นี่คือการสะท้อนถึงความจริงที่ว่าในโลกของเรา ระบบทุนนิยม และ การควบคุมที่ซ่อนอยู่ มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่สามารถหลบหนีจากสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ได้สรุป
The Matrix Resurrections คือการคืนชีพที่ไม่ใช่แค่เล่าใหม่ แต่ตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เคยเป็นมา ทั้งผ่านวิดีโอเกม ความรัก ความทรงจำ และการ “แซวตัวเอง” อย่างเจ็บแสบ หนังเล่าเรื่องผ่านโลกที่เบลอระหว่างจริงกับหลอก ใช้ Trinity และ Neo เป็นสัญลักษณ์ของความรัก การตื่นรู้ และการต่อสู้กับระบบที่ควบคุมทั้งอารมณ์และเสรีภาพ มันไม่ใช่แค่ไซไฟแอ็กชัน แต่คือการวิพากษ์โลกจริงผ่านโลกจำลองที่เราเคยเชื่อว่านี่แหละคือ “ความจริง”
Tags:
Movie