หลังจากตัดสินใจซื้อ Apple Watch มาด้วยความอยากได้สุดๆ แต่คราวนี้ Life style ที่มีอยู่กับการมี Device ใหม่ค่อนข้างไม่ลงรอยกันหลายๆเรื่อง
อันนี้ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราโอเคกับการเพิ่มเงิน 2-3 พันบาท เพื่อให้เราเข้าถึง internet network หรือไม่ เท่าที่ทราบคือ ทางค่าย Operator สีเขียวกำลังดำเนินการทำ eSim อยู่ ข้อดีก็คือคุณสามารถใช้เบอร์เดิมร่วมกับโทรศัพท์ iPhone ของคุณได้เลย ซึ่งราคาที่ US คือ 10$ สำหรับการใช้บริการเสริมนี้
คำถามคือ "คุ้มไหม" สำหรับคุณ
ตอนนี้ราคาที่ไทยยังไม่ออกให้ผมประเมิณก็น่าจะ 100-150 บต่อเดือน หรือมากกว่าแต่ได้ internet เพิ่ม
(ผมคาดเดาจากประสบการณ์ วันที่ 2 ตุลา 60)
เพราะการที่บอกว่าทิ้ง iPhone ไว้ ที่บ้านได้เลยแค่มี Watch ผมว่าไม่ค่อย Makesenes สำหรับคนทั่วไปเท่าไร เพราะว่าตัว Wacth เองถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Iphone อยู่แล้ว หลายๆ feature เองนี้ไม่สามารถใช้งานบนตัว Watch เองได้ เช่น Line, Twitter, Facebook (บางส่วน) ซึ่งคงทำให้หลายๆคนขัดใจ
อีกอย่างเนื่องจากความจุของแบตเตอรี่ ใน series 3 ทำให้การสนทนาต่อเนื่องจริงๆแล้วได้แค่ประมาณ 1 ชม. ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเป็น another phone จริงๆ แต่ทำได้แค่เป็นตัวสำรองอันนึงเท่านั้น
เสียเงินเพื่อให้คนอื่นติดต่อเราได้ อันนี้แล้วแต่มุมมองครับ บางคนอาจจะต้องการวาง iphone เพือ่ออกไปทำธุระแปปนึง แต่ไม่อยากขาดการติดต่อ แต่สำหรับผมถ้าวางไว้ที่บ้านคือ
Case 1 : ไม่ต้องการให้ใครติดต่อ เช่นประชุม ออกไปวิ่ง ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายอื่นๆ เคสนี้คือไม่อยากจะรับอยู่แล้ว
Case2 : ลืมโทรศัพท์ อันนี้ก็อาจจะช่วยได้นิดหน่อย แต่ความเป็นไปได้ในการลืมโทรศัพท์ของผมปีละ 1-2 ครั้งเอง และก็ไม่ได้เดือนร้อนกับมันเท่าไร
อันนี้ต้องคิดละครับ คุณเสีย upfront 2-3 พันสำหรับ Model Celllurar แล้วค่ารายเดือนเพิ่มอีก แต่ถ้าคุณมองเผื่อขายต่อ แน่นอน Model นี้มี Value ในการขายต่อกว่า Model อื่นๆ
สรุปผมซื้อ GPS ธรรมดาครับ
1 เร็วกว่า - แน่นอนทุกครั้งที่ upgrade จะต้องเร็วกว่า ด้วย CPU dual core ใหม่
2. มีการตอบสนองของ SIRI นั้นคือการพูดกลับได้ Feature นี้ makesenes มากเพราะเราคงไม่อยากพูดอะไรคนเดียวใน public places .ใช่ไหม อย่างน้องมีเสียง SIRI ออกมา ยังทำให้เราแก้เขินได้อีก
3. Barometric altimeter อันนี้เป็นอีกอันที่น่าสนใจ เพราะทำให้คุณสามารถแยกการใช้งานกรณีเล่นกีฬาหรือเดินเขา (trekking, hiking) ได้จาก iPhone อีก level นึง แต่ถ้าคุณมี iPhone ติดตัวตลอดผมว่า feature นี้ไม่ได้ใช้งานอะไรที่โดดเด่นเท่าไร
เนื่องจากผมเป็น Premium member ของ Spotify ซึ่งทำให้ผมโหลดเพลงแบบ Offline มาฟังบน iPhone แต่เวลาที่ผมวิ่งก็อยากที่จะไม่เอาโทรศัพท์ไป อยากแค่ฟังกับ Watch เท่านั้น แต่ปัญหาคือ Spotify ไม่มีแอพสำหรับ transfer เพลงไปที่ Watch
คนที่ใช้ Apple music ไม่น่ามีปัญหานี้ เพราะสามารถ transfer ได้เลย หรือว่าจะ steam ผ่าน Cellurar ได้กรณีใช้ Cellurar Model แต่คุณก็ต้องมี subscription กับ Apple music
มี Snowy ที่เป็น 3rd Party อยู่ในสถานะพัฒนาเสร็จแล้วจากข่าวที่ก่อนหน้ามีการปล่อย Beta ให้ test แต่ตัวจริงยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับ Spotify อยู่ ซึ่งผมว่าเป็นเรืองหนักใจเหมือนกัน สำหรับลิขสิทธ์เพลง
แต่ถ้า Spotify ไม่ทำ ผมว่าเค้าจะสูญเสียลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆกลุ่มนึงไปเลยทันที เพราะว่าพอผมไม่สามารถ tranfer เพลงไป Watch ได้ ผมก็มีความคิดจะย้ายไปใช้ Apple music ทันที เนื่องจากราคาไม่ต่างกัน แต่ที่ผมยังไม่ทำเพราะวว่าผมชอบการจัดเพลงของ Spotify มากกว่า (ผมเคยทดลองใช้ Apple music ช่วงแรก คิดว่าการจัดเพลงทำได้ไม่ค่อยดี แต่เหมากับก่าร Search มากกว่า แต่ตอนนี้ผ่านมาเป็นปีละ คิดว่าน่าจะแก้ไขตรงนี้ไปแล้วหล่ะ)
แต่หลายๆ task เองยังต้อง reqire iphone อยู่
ตัวผมเองก็มีปัญหาอีกเรื่องคือ dictation ยังสลับไปมาระหว่าง TH-EN อยู่ ความต่อเนื่อง (Consistancy) ยังไม่มี
เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังไปไกลสำหรับ gadget ตัวนี้
อีกความเห็นคือมันเป็น fitness instrument หรืออุปกรณ์ที่ถูกออกแบบให้กับ scenario ของนักกีฬามากกว่า แต่แค่ภาพของ communication ไปทาง smart device สำหรับคนทำงานปกติเท่านั้น
Apple watch GPS หรือ Cellular ดี
คำถามคือ "คุ้มไหม" สำหรับคุณ
ตอนนี้ราคาที่ไทยยังไม่ออกให้ผมประเมิณก็น่าจะ 100-150 บต่อเดือน หรือมากกว่าแต่ได้ internet เพิ่ม
(ผมคาดเดาจากประสบการณ์ วันที่ 2 ตุลา 60)
เพราะการที่บอกว่าทิ้ง iPhone ไว้ ที่บ้านได้เลยแค่มี Watch ผมว่าไม่ค่อย Makesenes สำหรับคนทั่วไปเท่าไร เพราะว่าตัว Wacth เองถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Iphone อยู่แล้ว หลายๆ feature เองนี้ไม่สามารถใช้งานบนตัว Watch เองได้ เช่น Line, Twitter, Facebook (บางส่วน) ซึ่งคงทำให้หลายๆคนขัดใจ
อีกอย่างเนื่องจากความจุของแบตเตอรี่ ใน series 3 ทำให้การสนทนาต่อเนื่องจริงๆแล้วได้แค่ประมาณ 1 ชม. ซึ่งไม่เหมาะกับการใช้งานเป็น another phone จริงๆ แต่ทำได้แค่เป็นตัวสำรองอันนึงเท่านั้น
เสียเงินเพื่อให้คนอื่นติดต่อเราได้ อันนี้แล้วแต่มุมมองครับ บางคนอาจจะต้องการวาง iphone เพือ่ออกไปทำธุระแปปนึง แต่ไม่อยากขาดการติดต่อ แต่สำหรับผมถ้าวางไว้ที่บ้านคือ
Case 1 : ไม่ต้องการให้ใครติดต่อ เช่นประชุม ออกไปวิ่ง ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายอื่นๆ เคสนี้คือไม่อยากจะรับอยู่แล้ว
Case2 : ลืมโทรศัพท์ อันนี้ก็อาจจะช่วยได้นิดหน่อย แต่ความเป็นไปได้ในการลืมโทรศัพท์ของผมปีละ 1-2 ครั้งเอง และก็ไม่ได้เดือนร้อนกับมันเท่าไร
อันนี้ต้องคิดละครับ คุณเสีย upfront 2-3 พันสำหรับ Model Celllurar แล้วค่ารายเดือนเพิ่มอีก แต่ถ้าคุณมองเผื่อขายต่อ แน่นอน Model นี้มี Value ในการขายต่อกว่า Model อื่นๆ
สรุปผมซื้อ GPS ธรรมดาครับ
Apple Watch 2 หรือ 3 ดี
แน่นอนว่า Series 3 มี feature ที่มากกว่า 2 ไม่มากเท่าไร พอสรุปที่โดดเด่นได้คือ1 เร็วกว่า - แน่นอนทุกครั้งที่ upgrade จะต้องเร็วกว่า ด้วย CPU dual core ใหม่
ทำให้เร็วขึ้น 70% และประหยัดแบตมากขึ้นแต่ผมว่าไม่น่าจะแตกต่างใน Model ของ GPS เพราะหลายๆอย่างต้องรอการ ส่งต่อข้อมูลไปที่ iPhone และ response กลับ แต่ Model Cellurar คงจะเห็นความแตกแต่างชัดเจนกว่า
2. มีการตอบสนองของ SIRI นั้นคือการพูดกลับได้ Feature นี้ makesenes มากเพราะเราคงไม่อยากพูดอะไรคนเดียวใน public places .ใช่ไหม อย่างน้องมีเสียง SIRI ออกมา ยังทำให้เราแก้เขินได้อีก
3. Barometric altimeter อันนี้เป็นอีกอันที่น่าสนใจ เพราะทำให้คุณสามารถแยกการใช้งานกรณีเล่นกีฬาหรือเดินเขา (trekking, hiking) ได้จาก iPhone อีก level นึง แต่ถ้าคุณมี iPhone ติดตัวตลอดผมว่า feature นี้ไม่ได้ใช้งานอะไรที่โดดเด่นเท่าไร
ที่เอา Apple Watch 2 มาเทียบทั้งๆ ที่ถูกถอดออกจากตลาดแล้ว เพราะว่าถ้ามี series 2 อยู่ จะทำให้คนแห่ไปซื้อ series 2 มากกว่า (โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจ Cellurar model) เพราะมันเพิ่มไม่เยอะ (Thebiggest change is cellurar model)
ซึ่งถ้าคุณไปหามือสองทีมีประกันอยู่ ราคาจะอยู่ที่ 8,000-9,500 ทำให้คุณประหยัดเงิน 3-4 พัน ไปซื้อ Apple Airpod ให้ครบ Ecosystem ได้เลย คราวนี้ Watch คุณจะ make senes ด้วยโมเดลนี้สุดๆ
Model series 1 ผมไม่พูดถึง เพราะว่าผมใช้ feature กันน้ำเป็นตัวแบ่ง เคยได้ยินว่า ตัว series 1 ก็กันน้ำกระเด็นได้ระดับนึง
Apple Watch Series 2 is water resistant, not waterproof.
คือใช้งานตามชีวิตประจำวันได้ แต่ series จะกันถึงขนาดลงน้ำได้เลย แต่แปลกตรงที่เคยได้ยินประกันความเสียหายจากน้ำไม่ครอบคลุมหรือครอบคลุมไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ
อีกเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ Spotify
เนื่องจากผมเป็น Premium member ของ Spotify ซึ่งทำให้ผมโหลดเพลงแบบ Offline มาฟังบน iPhone แต่เวลาที่ผมวิ่งก็อยากที่จะไม่เอาโทรศัพท์ไป อยากแค่ฟังกับ Watch เท่านั้น แต่ปัญหาคือ Spotify ไม่มีแอพสำหรับ transfer เพลงไปที่ Watch
คนที่ใช้ Apple music ไม่น่ามีปัญหานี้ เพราะสามารถ transfer ได้เลย หรือว่าจะ steam ผ่าน Cellurar ได้กรณีใช้ Cellurar Model แต่คุณก็ต้องมี subscription กับ Apple music
มี Snowy ที่เป็น 3rd Party อยู่ในสถานะพัฒนาเสร็จแล้วจากข่าวที่ก่อนหน้ามีการปล่อย Beta ให้ test แต่ตัวจริงยังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจากับ Spotify อยู่ ซึ่งผมว่าเป็นเรืองหนักใจเหมือนกัน สำหรับลิขสิทธ์เพลง
แต่ถ้า Spotify ไม่ทำ ผมว่าเค้าจะสูญเสียลูกค้ากลุ่มใหญ่ๆกลุ่มนึงไปเลยทันที เพราะว่าพอผมไม่สามารถ tranfer เพลงไป Watch ได้ ผมก็มีความคิดจะย้ายไปใช้ Apple music ทันที เนื่องจากราคาไม่ต่างกัน แต่ที่ผมยังไม่ทำเพราะวว่าผมชอบการจัดเพลงของ Spotify มากกว่า (ผมเคยทดลองใช้ Apple music ช่วงแรก คิดว่าการจัดเพลงทำได้ไม่ค่อยดี แต่เหมากับก่าร Search มากกว่า แต่ตอนนี้ผ่านมาเป็นปีละ คิดว่าน่าจะแก้ไขตรงนี้ไปแล้วหล่ะ)
สรุป
ก่อนอื่นต้องมองก่อนว่าเรามองหา feature อะไรจาก Apple Watch เนื่องจาก Watch เอาเข้าจริงไม่สามารถใช้แทน iphone ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แค่เพิ่มความดูดี และอำนวยความสะดวกในกรณีที่เราไม่อยากหยิบ iphone ออกมาแต่หลายๆ task เองยังต้อง reqire iphone อยู่
ตัวผมเองก็มีปัญหาอีกเรื่องคือ dictation ยังสลับไปมาระหว่าง TH-EN อยู่ ความต่อเนื่อง (Consistancy) ยังไม่มี
เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังไปไกลสำหรับ gadget ตัวนี้
อีกความเห็นคือมันเป็น fitness instrument หรืออุปกรณ์ที่ถูกออกแบบให้กับ scenario ของนักกีฬามากกว่า แต่แค่ภาพของ communication ไปทาง smart device สำหรับคนทำงานปกติเท่านั้น
Tags:
Technology