ผมคิดมาตลอดว่าเราไม่ได้อยู่กันเพียงลำพังในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ID4 หรือคลิปหลุดการผ่าตัดมนุษย์ต่างด้านที่ Area 51 หากแต่ว่าเรายังไม่ได้เข้าสู่ช่วงยุคแห่งการเชื่อมต่อวัฒนธรรมของจักรวาล การเกิดการมีชีวิตของมนุษย์บนโลกผมคิดว่ามันเป็นการ ฟลุ๊ก ของการมีชีวิต และผมเองก็ฟลุ๊กที่ดันมีความคิดเป็นของตัวเอง และเกิดมาบนโลกที่มีการแบ่งแยกทางสายพันธ์ความคิด ใบนี้
เราคิดมาตลอดว่าที่ผ่านมา มนุษย์ต่างดาวให้การช่วยเหลือมนุษย์ในอารยธรรมโบราณที่ได้ล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรมายา หรือว่า ทวีปแอตแลนติส เพราะด้วยความรู้และเทคโนโลยีของมนุษย์เพียงลำพังคงไม่สามารถสร้างได้ ผมเคยเห็นการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ของการสร้งสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดตามคำบอกเล่าของตำนาน โดยการเทคนิดการก่ออิฐและการเผาอิฐ และนำไปคำนวนหาความเป็นไปได้ในการรับน้ำหนัก
แม้ว่าการพิสูจน์จะออกมาอย่างไร ความเป็นไปได้จากการออกแบบการก่อสร้าง เทคนิควัสดุ และเทคโนโลยีการก่อสร้าง จะมากน้อยแค่ไหน เรื่องมนุษย์ก็ยังเข้ามาครอบงำทางความคิดของคนทั่วไปอยู่เสมอ
ข่าวการลงจอดของยาน Curiosity บนดาวอังคาร ทำให้ผมหวนคิดไปถึงการค้นหา แสวงหา และการเริ่มต้นบุรุก และยุคล่าอาณานิคมทางอวกาศ ผมเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้หยุดแสวงหา มนุษย์คือสัตว์ที่มีสายตาจ้องไปข้างหน้าเพื่อจู่โจม ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ล่า (Hunter) ต่างกับผู้ถูกล่าที่มีสายตาอยู่ด้านข้างเพื่อแวดระวังภัย แต่อย่างไรก็ตามผมก็ตื่นเต้นไปกับการค้นหาครั้งนี้
เมื่อผมได้เห็นภาพถ่ายจากดาวอังคาร คำพูดที่เคยลือกันว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ย้อนกลับเข้ามาในหัวผม มันเหมือนโลกของเราจริงๆ มีดวงอาทิตย์ มีภูเขา และมีหลักฐานหลายอย่างเกี่ยวกับแหล่งน้ำบนดาวอังคาร ผมยอมรับว่าตื่นเต้นไปกับสิ่งนี้มากๆ คงจะเป็นคำถามต่อไปว่า หากเราไม่ได้มีชีวิตอยู่โดยลำพังในจักรวาลแห่งนี้ เราจะอยู่ในสถานะใดในจักรวาล ผู้ล่า ผู้ถูกล่า หรือว่า พันธมิตรแห่งกาแลคซี่ทางช้างเผือก หรือกำลังจะถึงเวลาฉีกบทหนัง Sci-fi เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวของ Hollywood เสียแล้ว
ทีมาของภาพ และสามารถดูได้ 360 http://www.360cities.net/image/curiosity-rover-martian-solar-day-2#763.60,-2.16,58.9