ฉันใช้เวลาตามหาความรักมานานแค่ไหน : Age of Adaline






มีหลายๆคำพูดที่เราอาจจะได้ยินบ่อยๆ คำพูดเชิงประชดประชันเกี่ยวกับความรัก เช่น


“ เนื้อคู่เรายังไม่เกิดบ้างหรอก ไม่งั้นคงจะเจอกันไปนานแล้ว “  หรือว่า
”ชะตายังไม่พาเรามาเจอกัน”   บ้าง





 ทั้งหมดทั้งปวงเป็นเรื่องที่เราพูดให้เรารู้สึกว่าเรายังอยู่อย่างมีหวัง เพียงแต่ของบางอย่างมันต้องรอเวลา ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคต เราเพียงแต่ต้องอดทน ใช้ชีวิต และเพื่อค้นหาใครคนนั้นต่อไป

Age of Adaline เป็นหนังที่ผมเห็นพูดถึงกันมากใน Social ช่วงที่กำลังเข้าฉายอยู่ แต่ตัวผมเองพึ่งจะมีโอกาสได้ดูไม่นานมานี้ และเกิดประทับใจ อยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ในมุมมองของผม



ความชรา และความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
ภายใต้เงื่อนไขประสิทธิภาพของต่อมไร้ท่อและอวัยวะต่างๆของมนุษย์  ร่างกายจะ จะลดการผลิต HGH ลง (HGH: Human Growth Hormone เป็นฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตที่หลั่งจากต่อมใต้สมองของมนุษย์)
กลไกลของของ HGH จะมีการผลิตมาในตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ และจะลดลงเมื่อเราเกิดจนไปถึงวัยรุ่นจะเพิ่มสูงขึ้น จนกระทั้งถึงอายุ 30 ร่างกายจะลดกำลังการผลิตลงเหลือ 40% ของอายุ 20 ปี ในตัวเลขนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับอายุของ Adaline ขณะที่หยุดความชราลงที่อายุ 29 หรือปล่าว




ความเป็นไปได้ในแง่วิทยาศาสตร์กับ “immune to the ravages of time”
ตามที่ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับความเป็นได้ของมนุษย์ที่จะอยู่นานเกินกว่า 100 ปี นาย Sergiy Libert (Assistant Professor of Biomedical Sciences at Cornell University) เชื่อว่าในทางทฤษฏีแล้วคนเราสามารถอยู่ได้ถึง 200 ปี ได้ เพราะอวัยวะหลายอย่างตามทฤษฎีมีลักษณะที่มีความเป็นได้ (ส่วนตัวผมเองไม่ค่อยเข้าใจและไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร) เช่น ระบบประสาท อวัยวะภายใน กล้ามเนื้อ เพราะเหล่านี้สามารถสร้างตัวเองใหม่ได้ เรียกได้ว่าเป็น Advance Organism ไม่มีอายุขัย นายคนนี้จึงเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันมีทางเป็นได้  และทุกวันนี้เราก็ได้ยินเรื่องของการเปลี่ยนอวัยวะ, การบำบัดโดย stem cell , genetic engineering อยู่แล้วเพื่อชลอความแก่และต่อชีวิตเราให้นานขึ้น



แล้วความรักของเธอหล่ะ
ย้อนกลับไปตอนต้นที่ผมเกริ่นเรื่อง ความโชคดีของผู้หญิงคนหนึ่งเกี่ยวกับความรักและเนื้อคู่  บางทีเค้าอาจจะมีตัวตนจริงเพียงแต่เค้ายังไม่เกิด การดำรงชีวิตอยู่เพื่อรอคอยที่จะได้เจอใครคนหนึ่งที่เรายังไม่เคยแม้แต่จะรู้จักหรือว่ามีอยู่   ทว่ามนุษย์เราที่อายุขัยที่จำกัด  เราไม่รู้ว่าคนไหนคือรักแท้ของเรา และเราจะรอคอยใครคนนั้นได้นานแค่ไหน และเราจะรอคน ๆ นั้นจริง ๆ



ความรักที่อาจไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงสามี-ภรรยา  
ระหว่าง Adaline กับ William (พ่อของ Elis Harrison Ford) ที่เคยผ่านช่วงเวลาที่เคยรักกันมา แต่เธอตัดสินใจที่จะวิ่งหนีออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่จะเห็นการตายจากไป เมื่อชะตานำพาทั้งสองมาพบกันใหม่ Sense ของคนต่อคนที่เรารักมันช่างมีพลังมหาศาล แม้ความทรงจำมันจะเลือนลางหายไปบาง แต่ความรู้สึกจากสัมผัสทั้ง 5 ไม่เคยจางหายไป กลับกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ ค้นหาความจริง   Adaline เองก็ไม่อยากที่จะปิดบังความลับของเธอกับคนที่เธอรักอีกต่อไป ผมไม่รู้ว่าเธอเลือกที่จะบอกเพื่อที่จะหลบหนีต่อไปอีก หรือเพราะอะไรกันแน่ แต่สิ่งที่ William ทำก็คือเค้ารู้สถานะตนเองและเลือกที่จะให้ Adaline อยู่กับลูกชายของเค้า มันเป็นความรู้สึกที่บ้ามาก ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ

แต่กรณีของ Adaline หล่อนสามารถผ่านข้อจำกัดนั้นมาได้กว่า 100 ปี เพียงเพื่อมาตกหลุมรักกับชายที่เสมือนว่ามาจากอนาคตโคจรมาพบกับหญิงสาวที่ร่อนเร่มาจากอดีต




She’s sophisticated
เป็นมุมมองที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง หากวันนี้คุณรู้ว่าคุณจะต้องเป็นอมตะ คุณจะใช้ชีวิตแบบไหนที่ทำให้ชีวิตของคุณดูมีค่าที่สุด และไม่โดดเด่นจนโดนจับไปทดลอง เธอเลือกที่จะใช้ชีวิตในห้องสมุดเล็กๆ ที่ San Francisco เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ฝึกฝนทักษะ และภาษาใหม่ๆ โดยเฉพาะ อักษรเบลล์ที่ทำให้พระเอกของเรื่องเกิดความสนใจและหลงไหลในตัวเธอ  เป็นแง่มุมที่น่าสนใจและทำให้เธอดูน่าสนใจมากทีเดียว ผมเองก็เป็นคนชอบผู้หญิงเก่ง มันทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากทีเดียว


Post a Comment

You can share any idea here.......

Previous Post Next Post

Contact Form