วันขอ VISA อเมริกา

            จริงตอนแรกไม่ค่อยกังวล แต่พอเวลา และอะไรต่างๆใกล้เข้ามาก็เริ่มกังวลและตื่นเต้น ถามว่าขณะที่กำลังเตรียมตัวสัมภาษณ์วีซ่า ความกังวลเรื่องของการใช้ภาษา และเอกสาร ไม่มีเลย สิ่งที่กังวลคือแง่มุมในการพิจารณาของสถานทูตมากกว่า
            เวลานัด 7.45 แต่ผมตื่นตั้งแต่ 4.45 ทั้งที่ตอนเช้ารถไม่ติดหรอก แต่ว่าอยากจะเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่อยากให้ผิดพลาด ผลคือนอนไม่ค่อยหลับเพราะกังวล เบลอๆนิดๆ
6.45 ถึงแถวสีลม ด้วยความที่ว่าอยากจะประหยัดค่าเดินทางกับถ่วงเวลานิดๆ ก็เลยตัดสินใจนั่งสาย 76 ไป  ระหว่างทางรถไม่ค่อยติดหรอก แต่ว่าถนนแถวเส้นดาวคะนอง-บุคคโล จะกำลังก่อสร้างทางลอดใต้ รถจึงค่อนข้างแออัด ทำให้เสียเวลาตรงนั้นมากเกินไป แต่การเลือกทางเดินนี้ทำให้รู้ว่า 6 โมง สาธร ยังไม่ติดเท่าไร ก็พลันคิดไปเล่นๆถึงตอนถ้าเกิดเรามาส่งลูกเรียนสักที่ฝั่งนั้น จะต้องตื่น หรือว่าวางแผนการเดินทางอย่างไร
7.20 โดยประมาณ เดินทางมาถึงหน้าสถานทูต โดยอ้อมไปทางราชดำริ และตัดมาฝั่งตรงข้ามสถานทูต เพราะคิดว่าจะเป็นทางที่รถไม่ติด แต่ติดที่แยกสารสินนิดหน่อย ลงฝั่งตรงข้ามและเดินข้ามสะพานลอยมา ถึงตอนนี้มีคำแนะนำ ถ้าเกิดเราไม่มีคนไปด้วยเดินเลยไปจากจุดที่ข้ามสะพานลอยแล้ว (ทางที่จะตรงไปชิดลม) เห็นเข้าบอกว่ามีที่รับฝากกระเป๋า เพราะที่นีเข้มงวดเรืองของและการเข้าออกมากๆ มากเสียจนผมยังพลาดเลย คือลืมเอา Memorie Card ออกจากกระเป๋าตังค์ ซึ่งคนทั่วๆไปก็ไม่พกอยู่แล้ว แต่ผมลิมเอาไว้ตอนไปเทียว เลยต้องต่อคิวแสกนโลหะใหม่
7.40 เข้าคิวรอที่หน้าสถานทูต จะมีทั้งเจ้าหน้าที่ใจดี คอยดูเอกสารให้ แต่เราก็ควรเตรียมพร้อม มีคำแนะนำขั้นตอนนี้ดังนี้
(ผมคิดว่ามาถึงขั้นตอนนี้คุณคงหาข้อมูลมาเต็มที่แล้ว ผมคงบอกได้ไม่หมด แต่จะบอกแค่ส่วนเสริมเท่านั้น)
          - เอกสารแยกสองซอง อันแรกคือที่จำเป็น ตามลำดับ เช่น DS-160, Passsport, รูปถ่าย 2"x2", I-20, Trasnscript ตัวจริง ทั้ง ป.ตรี ป.โท ป.เอก และอื่นๆ ที่จำเป็น 
          - เอกสารซองที่สองเป็นส่วนเสริม เพราะจากการดูแนวทางการทำงานของเจ้าหน้าที่คือ เค้าจะตั้งธงก่อนว่า คนไทยทุกคนที่ไปขอวีซ่า ตั้งใจจะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย คุณต้องหาเอกสารที่จะยืนยันถึงภาระหน้าที่ที่ไทย หรือความมั่นคงทางฐานะ สังคม ของคุณที่จะไปหลบไปใช้แรงงานผิดกฏหมายที่นั้น เช่น Statement, Book Bank, หรือหนังสือเกี่ยวกับการยืนยันการครอบครอง ผ่อนชำระ บ้าน รถ คอนโด    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องระวังมุมมองที่จะถูกมองได้ว่า คุณหลบภาระหนี้สินที่นี่หรือปล่าวด้วย



ขอบคุณภาพจาก http://www.youtube.com/watch?v=YVnuwK3Mmlc
7.45 เจ้าหน้าให้เข้าไปโดยมีโทรศัพท์ติดตัวได้เครื่องเดียว ซึ่งพอเข้าไปแล้วประตูแรกคุณก็ต้องฝากโทรศัพท์และปิดเครื่องอยู่ดี ไม่สามารถนำเข้าไปภายในได้ อีกอย่าง กระเป๋าตังค์พกแต่แบงก์กับบัตรพอ โดยเฉพาะบัตรประชาชน เพราะต้องฝากแนบไปกับโทรศัพท์ และ Memory Card ที่ผมลืมเอาไว้  ส่วนกระเป๋าตังเอาเข้าไปด้านในได้ โดยเจ้าหน้าที่จะให้สายคล้องแขนที่มีตัวเลขรับฝากกำกับไว้ กระเป็าเล็กๆผู้หญิงสามารถเอาเข้าได้นะครับ แต่ตรวจสอบเงื่อนไขของสิ่งของที่อยู่ข้างในให้ดี เห็นผู้หญิงสะพายเข้าไปได้
7.55 ผ่านเครื่องแสกนโลหะเข้าไป และเข้าไปกางแขนให้เจ้าหน้าที่ตรวจละเอียดอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกำลังจะขึ้นเครื่องบินไปที่อเมริกาแล้วจริง ๆ เลย     จากนั้นให้เปิดประตูเหล็กหนักอึ้ง ออกไปเดินไปด้านซ้ายมือ ซึ่งทางจะบังคับ ผ่านอาคารแรกที่มีชายคาตลอดแนว โดยแยกส่วนทางเข้ากับเจ้าหน้าที่สถานทูตโดยสิ้นเชิง พื้นที่ข้างในกว้างมาก แต่ส่วนที่เรามีสิทธ์ใช้งานเล็กนิดเดียว 
            ตอนแรกผมเดินผิด เดินดุ่มเข้าไปเลย ผ่านทุกสิ่งอย่างขึ้นบันได ไปต่อคิว รอเรียกสัมภาษณ์ ซึ่งผิดมาก กว่าจะถึงขั้นตอนนี้ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ยืนได้สักแปปนึง สังเกตถึงความผิดปกติ จึงเดินไปถามคุณอาที่ยืนหน้าห้องน้ำ จึงได้รู้ว่าต้องออกไปทำอะไรสักอย่างข้างนอกก่อน PS. ภายในมีห้องน้ำนะครับ เผื่อตื่นเต้น
            ระหว่างทางที่เดินมาขึ้นอาคารที่จะเป็นจุดนั่งรอสัมภาษณ์ (ที่ผมเกินดุ่มๆมาเลย) จะมีร้านกาแฟดอยตุงด้านขวามือ ด้านซ้ายจะเป็นเหมือนไปรษณีย์ ตอนที่ผมไปยังไม่เปิด ซึ่งถ้าเป็นเมือก่อนผมรู้สึกว่าจะต้องมาจ่ายค่าส่ง Passport กรณีที่ผ่านตรงนี้ แต่ปัจจุบันรวมไปกับค่าขอเรียบร้อยแล้ว
            ก่อนถึงไปรษณีย์ที่ปิดอยู่ นิดนึง จะเป็น Counter เล็กๆ มีเจ้าหน้าที่สองท่าน ช่วย จัดเรียงเอกสารโดยละเอียดอีกครั้ง พร้อมแนบบัตรคิวเผื่อสัมภาษณ์ และนำเอกสารทุกอย่างออกมาใส่ซองพลาสติกที่เตรียมไว้ให้ ตรงนี้เอง ที่ผมต้องย้าย Transcript ทีเดิมอยูในเอกสารซองที่สอง(เอกสารเพิ่มเติม) มาไว้รวมกับซองแรก (สำคัญ) อาจจะเพราะผมขอ VISA F-1
            หลังจากผ่าน Counter นี้ไปแล้วจะมีป้ายบอกว่า คุณต้องอ่านข้อมูลตรงนี้ซึ่งตรงนั้นจะบอกให้เราจด Tracking Number กรณีจะต้องส่ง Passport กลับไปให้คุณทางไปรษณีย์ ซึ่งหมายความว่าคุณได้ VISA แล้ว  ตอนนี้อยากได้โทรศัพท์ถ่ายรูปไว้ชะมัด แต่ได้แต่จดลงบนซองเอกสาร เพราะเป็นที่ๆน่าจะดีสุด เพราะซองคงตกหล่นยากกว่าเอกสารบาง ๆ ที่อาจจะหล่นตอนดึงเข้าออกก็ได้

ขอบคุณภาพจาก http://www.youtube.com/watch?v=YVnuwK3Mmlc

8.00 โดยประมาณ หลังจากที่เอกสารเตรียมพร้อมอีกครั้งแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดด้านขวามือ โดยชิดซ้าย ทางด้านซ้ายของประตูทางเข้าจะมี Counter ที่มีกระจกกั้นอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าแบ่งเป็นล๊อต ๆ กี่ล๊อต แต่ให้เราต่อคิว จะมีเจ้าหน้าเรียก เพื่อสอบถามยืนยันตัวและให้ Scan นิ้วมือทั้งหมด โดยมีขั้นตอนต่อไปนี้
                    1. ยื่นเอกสาร แล้วรอเจ้าหน้าบอกให้แสกนนิ้ว โดยเจ้าหน้าที่จะพูดภาษาไทย(เป็นคนฝรั่ง) ฟังยากนิดนึง และลำโพงเป็นโดมแขวนอยูเหนือศรีษะเรา ต้องยืนกึ่งกลาง จึงจะได้ยินชัดสุด
                    2. แสกนนิ้วมือ โดยรอบด้านเราจะมีวิธีแสกนเขียนไว้บอกเป็นขั้นตอน ประมาณว่าไม่ต้องอธิบายอีกต่อไปแล้ว โดยเริ่มจาก 4นิ้วมือขวา 4นิ้วมือซ้าย และหัวแม่โป้งทั้งสอง
                    3. เจ้าหน้าจะแสกนรูปถ่าย 2"x 2" เราและส่งคืนมาให้ ผมแนะนำว่าเขียนชื่อหลังรูปมันก็ดูเราเตรียมพร้อมดีนะ จริงๆอาจจะไม่มีผลต่อการอนุมัติ VISA หรอก แต่เผื่อเอาไว้ 
            จากนั้นเจ้าหน้าที่จะคืนเอกสารทุกอย่างให้ ผมเดาว่าเป็น Process ตรวจเช็คและเริ่มทำ ประวัติ เพราะมีการถามเรืองเคยขอวีซ่าไหม


ขอบคุณภาพจาก http://www.youtube.com/watch?v=YVnuwK3Mmlc
8.10 เปิดประตูเหล็กบานถัดไปทางด้านขวา ซึ่งหนักมากออก เดินเข้าไปข้างใน คุณจะเจอโถง ที่ด้านหน้าและด้านซ้ายมือ จะเป็นเหมือนตู้ล๊อตๆ เหมือน บูทขายตั๋วที่มีกระจกกั้น มีตัวเลขบอกลำดับชัดเจน และมีป้ายเรียกพร้อมระบบเสียงเรียกเหมือนเราเข้าไปธนาคารอย่างนั้นเลย 
            ด้านขวามือจะเป็นบริเวนนั่งรอเรียก และห้องน้ำ ดูหมายเลขของตัวเองให้ดี รอฟังการเรียก การเรียกจะเรียกเป็นชุด ชุดประมาณ 10 คน เริ่มแรกจะเป็น ตรวจเอกสาร(อีกแล้ว)อีกครั้ง จำไม่ได้ว่าต้องแสกนนิ้วอีกรอบที่จุดนี้ไหม    มีคำถามจากเจ้าหน้าที่นิดหน่อย ซึ่งผมนึกว่านี่คือการสัมภาษณ์แล้วหรือปล่าว แต่มันดูสั้น ๆ ไปนะ สักพักเจ้าหน้าที่คืนเอกสารให้แล้วบอกว่า "ไปนั่งรอก่อนนะ" เป็นภาษาไทย
            ใจตอนนี้ก็เริ่มที่จะตื่นเต้นแล้ว เพราะดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่การสัมภาษณ์จริง แต่ว่ามีเจ้าหน้าอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูทางการอยู่ด้านติดกับออฟฟิศ ภายในมีเจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่อีกจำนวนหนึ่ง บรรยากาศยังกะสถานนีตำรวจใน Series  เรื่องหนึ่ง     ระหว่างนั่งรอก็ดูข่าว CNN ไปด้วย

ขอบคุณภาพจาก http://www.youtube.com/watch?v=YVnuwK3Mmlc
8.25 เสียงเรียกให้เข้าแถวรอสัมภาษณ์เหมือนเดิม ทีละ 10คน เพื่อสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ประมาณ 3 ล๊อต ผ่านกระจก หนา     ผมเหลือบเห็นและฟัง ทีท่า และน้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ที่ให้สัมภาษณ์คนอื่นที่อยู่ถัดผมไปเกือบ 10 คิว  ท่านหนึ่งเป็นพระสงฆ์ไทย ท่านโดนปฎิเสษ VISA เนื่องจากกอะไรไม่รู้ ซึ่งผมไม่ได้ยินเสียงเท่าไรหรอก แต่ว่าสังเกตจากแววตาผู้สัมภาษณ์ และท่าทางการส่ายหัว พร้อมกับคำอธิบายที่ฟังไม่ได้ยินอีกนานเลย เข้าใจว่าจะเป็นการอธิบายเหตุผลที่ไม่ให้อนุมัติให้ผ่าน VISA
            อีกท่านเป็นคนวัยทำงานสัก 25-26 ชาย แต่งตัวดูดี ก็โดนปฏิเสธเหมือนกัน เพราะอะไรก็ไม่รู้ มันทำให้ผมเริ่มเป็นกังวลละ 2 ใน 3 ของคนที่ถูกสัมภาษณ์ ไม่ผ่าน

            เวลาผ่านไป คนที่มาคนเดียวเริ่มทักทายและพูดคุยกันเพื่อลดความกดดันกระมัง และในที่สุด 1 ใน 2 เจ้าหน้าที่ที่พึ่งจะปฏิเสธ VISA ไปก็กวักมือเรียกผมเดินเข้าไปหา
8.35 โดยประมาณ ผมได้รับการสัมภาษณ์ โดยประโยคแรกที่พูดกับผมคือ
                                             "สวัสดีครับ"  อย่างสุภาพ      แต่ผมกลับตอบไปว่า "Good Morning"
            เจ้าหน้าที่ยิ้ม และก้มดูเอกสารที่ผมยื่นให้ แล้วถามว่า "ไปเรียนภาษา ?" ผมตอบ "Yes"  ในตอนนี้คงมีความสับสนเรื่องของการใช้ภาษากันเพราะไทยพูดฝรั่ง ฝรั่งพูดไทยกัน
             เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนภาษาในการสัมภาษณ์ทันที ซึ่งผมคิดว่าก็ดี เพราะมันอาจจะซ่อนความกังวลเรื่องคำถามไป เพราะเราจะไปโฟกัสเรื่องของภาษามากกว่า จะได้ไม่ประหม่า
            คำถามต่อไปประมาณว่า เรียนที่ไหน อยู่กี่เดือน ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่ ทำไมถึงเป็นเมืองนี้ และมีความจำเป็นอะไร ?
            ระหว่างที่ตอบคำถาม เจ้าหน้าที่ก็เปิดเอกสารพร้อมกับพิมพ์บันทึกอะไรบางอย่างลงไปด้วย สาบานได้ว่านั้นเป็นเสียง  การพิมพ์ Keyboard ที่ดังก้องในหูที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากนั่งใกล้ ๆ พี่แมว รุ่นพี่สน.ตอนเขียน CAD เลย
            ในระหว่างตอบคำถามเรื่องของทำไมถึงจำเป็นต้องเรียนภาษา เค้าก็เปิดเจอใบรับรองจากสถานที่ทำงาน ซึ่งผมคิดว่ามีผลต่อการอนุมัติมาก หากคุณมีตำแหน่งที่ดูมีความจำเป็นจะต้องใช้ หรือดูมีเหตุผลต่อการบินไปเรียนภาษา ก็จะทำให้เจ้าหน้าเชื่อถือมากกขึ้น
            เอกสารนั้นมีการระบุเงินเดือน ตำแหน่ง และอายุงาน ซึ่งผมทำงานต่อเนื่องที่นี่มากว่า 5 ปี นั้นเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกถูกต้องทีสุดสำหรับการอยู่ที่เก่ามานาน  จากนั้นอีกประเด็นที่ทำให้ดูน่าเชื่อถือ น่าจะเป็นตำแหน่งที่ระบุไว้ว่าเป็น Design Manager ซึ่งผมก็เล่าให้ฟังว่า ผมต้องรับผิดชอบงานประมาณไหน และต้องมีการออกไปเจรจากับลูกค้า การมีภาษาที่ดีจะส่งผลต่อการงานผมมากๆ   จากนั้นผมกลัวเค้าไม่เชื่อเรืองของสถานะการเงิน จึงถามเค้าไปว่า เค้าอยากจะดู Statement ของ Bank ผมไหม ?   แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้อง
            จากนั้นก็มีการพูดคุยอีกเล็กน้อย และในที่สุดเจ้าหน้าที่พูดประโยคหนึ่งติดต่อกันมา ผมจับได้แต่คำว่า 
"Your VISA has been approved" 
ใจอยากจะร้องเย่ !
            แต่ได้แต่เก็บอาการไว้ เค้าบอกว่าเอกสารจะถูกเก็บไว้และเราจะส่ง Passport คุณกลับทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่คุณระบุไว้   ซึ่งผมก็แค่ขอบคุณและเดินออกไปด้วยความดีใจ ซึ่งทางเดินกลับก็ทางเดิม     ตอนเดินมาเหมือนทุกอย่างหนักอึ้ง แต่ตอนเดินกลับซองเอกสารแรกถูกเอาไปเกือบหมด แต่มันเบายิ่งกว่าแค่ซองถูกเก็บไป  จากนั้นก็กลับไปที่อาคารกระจกตรงทางเข้าเพื่อขอกระเป๋าตังค์คืน  
9.00 ออกมาสิ่งที่ทำคือการถ่ายรูปหรือคัดลอกตัวเลข Tracking Number เอาไว้เผื่อหาย และก็เดินทางกลับบ้าน รอรับ Passport ที่บ้าน และวางแผนชีวิตต่อไป

Post a Comment

You can share any idea here.......

Previous Post Next Post

Contact Form