เราหลงลืมอะไรบางอย่าง


ในขณะที่เรากำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เทียมเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสังคม ความรู้สึกละเอียดอ่อนบางอย่างถูกมองข้ามไป เพราะเราคิดว่าเราอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหันกลับมามองบางอย่างที่ทำหล่นไปขณะก้าวไปข้างหน้าอีก สิ่งที่เราต้องทำคือ วิ่งให้ทันมัน หรือว่าวิ่งให้เร็วกว่าเพื่อมีชีวิตไปข้างหน้า และให้เกิดการยอมรับในสังคม



ความรู้สึกละเอียดอ่อน หรือ Sensitive กลายเป็นถูกมองว่าแย่ เพียงเพราะคุณเป็นคนอ่อนไหวง่ายเกินไป  คำเหล่านี้ผมถูกปรามาสบ่อย  ผมไม่สามารถปฏิเสธมันได้เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ น้ำตาผมกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าในสายตาของหลายคน ๆ แต่เชื่อเถอะว่า ใครทำผมไม่พอใจผมจำชื่อคุณได้แน่นอน แต่เวลาผ่านไปเหมือนผมก็ลืมต่อมน้ำตาผม ลืมความรู้สึกละเอียดอ่อนไป เพราะมัวแต่วิ่งตามกระแสของโลกที่หมุนเวียน ผมลืมว่าตัวเองเป็นคนคิดมากแค่ไหน บางทีมันเจ็บปวดนะ เหมือนเราทิ้งจินตนาการที่เคยสัญญาให้กับตัวเองในวัยเด็กไป และสูญเสียสัญญาณบางอย่างของความเป็นตัวเราไป

ประโยชน์ของความรู้สึกละเอียดอ่อน ผมคิดไปเองว่าผมเอามันเป็นจุดเด่นในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เคยมีใครบอกว่าศิลปินที่ดีจะต้องมีอารมณ์อ่อนไหว จึงจะสามารถสร้างงานออกมาได้ คำพูดนี้อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ผมว่าอารมณ์อ่อนไหวมีความจำเป็นต่อจินตนาการและแรงบันดาลใจ หากไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เปรียบกับสมองกลแล้วระบบทำได้แค่เพียงการเขียนโปรแกรม “สุ่ม” ที่ไม่ให้ตรงกับ Array ที่เก็บไว้เท่านั้น มันเต็มไปด้วย logic จนเกินไป
เมื่อก่อนจำได้ผมชอบหยิบสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวันมาเขียนเรื่องราวเขิงเสียดสี ความเป็นสังคม  แต่ด้วยประสบการณ์และองค์ความรู้ในขณะนั้นที่เรียนแค่ปี 4 ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และการอ่านหนังสืออย่างที่ควรจะเป็นก็น้อยมาก ทำให้กลั่นกรองเรื่องราออกมาเป็นเรื่องที่มีความคิดตื้นๆ เท่านั้น แต่ด้วยความที่เป็นเด็กที่ไร้เดียงสา จึงกล้า กล้าที่จพนำผลงานตัวเองเผยแพร่ออกวางชาย ไปตั้งราคาขายเป็นหนังสือทำมือในงาน Fat Festival และงานของยุคอินดี้แห่งปี พศ. 2547 ถึง 50-60 บาทอีก

บอกตามตรงผมไม่ได้กระว่าจะมีรายได้จากมัน แต่ผมกลัวว่ามันจะขายได้มากกว่า แปลกไหม ? มีแต่คนกลัวว่าจะขายไม่ได้ แต่ผมแค่ต้องการจะวัดอะไรบางอย่างกับมัน เพราะในยุคนั้นเป็นยึดที่ผมดำดิ่งกับตัวเองจากหัวข้อวิทยานิพนธ์ เด็กน้อยที่เอาแต่อารมณ์และความรู้สึกตนเอง กับต้องมาทำวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับ สังคม ความแปลกแยก ความเป็นปัจจเจกเฉพาะกลุ่ม พร่ำพรรณาจนเล่นเอาเพื่อนแทบไม่คบเลยช่วงเวลานั้น แต่ในท้ายสุด ก็ขายได้ไม่กี่เล่ม(ตามที่ได้ตั้งใจไว้) และผมก็ไม่เอาเงินที่ได้มาทั้งหมด แต่ยกให้กับน้องที่รับฝากขายไป

ความแปลกแยก
ในขณะที่เรากำลังเรียนหนังสือ ความเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ ความรับผิดชอบเราไม่มากนัก การเข้าสังคมเป็นเรื่องไม่จำเป็นมาก เราตื่นขึ้นมา เข้าห้องเรียน อาจารย์ก็ยังสอนเราอยู่ดี เพื่อนก็ยังคงต้องนั่งข้างเรา จบคลาสเรียนขอให้เราไม่เกเรมาก เราก็ยังมีกลุ่มให้ทำงานส่งเสมอ
แตกต่างกับการทำงานในชีวิตจริง เราต้อง ”ขายตัว” ขายสิ่งที่เป็นด้านดีของเรา และปิดบังด้านเสียต่างๆ ความเป็นอยู่อย่างเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยจบลง เหลือแค่สังคมที่พยายามจะเอาตัวรอดกันให้ได้ ความมีน้ำใจกลับเปลี่ยนไปสู่การเฉยชา ชีวิตที่เรียบง่ายกลับกลายเป็นยุ่งหยิงเกิน การโกหกเป็นสิ่งจำเป็นจนกระทั่งมนุษย์ต้องแบ่งแยกสีของมันออกเป็นสองด้านเพื่อบรรเทาความรู้สึกผิดของตนเองกับการกระทำให้น้อยลง

Post a Comment

0 Comments