รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง ตอน transit ที่ ญี่ปุ่น




เพราะไม่มีประสบการณ์จึงกล้า
สืบเนื่องจากการค้นหาสายการบินเพื่อเดินทางไปอเมริกา ด้วยความที่ว่าไม่เคยจองไปไกลอย่างนี้ และไม่เคยมีประสบการณ์การ "เปลี่ยนเครื่อง" (transit) ทำให้กรอบของความคิดไม่มี ไม่ได้คำนึงถึงความยากลำบากในการจัดกระเป๋า หรือลากกระเป๋าใบใหญ่ เอาเข้าจริงยังไม่รู้ด้วยว่ากระเป๋าจะขนาดเท่าไร หรือกี่ใบ ถ้ารู้อาจจะไม่ทำก็ได้

หลังจากที่หาสายการบินตาม แอพ หรือเวบที่เป็นตัวกลางหาตั๋วราคาถูก ก็พบว่าช่วงเวลาที่ต้องการไป ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 28,000 บาท (เฉพาะขาไป) แตกต่างกันที่บริการบนเครื่องบิน เวลาการต่อ และสนามบินที่ใช่เปลี่ยนเครื่อง  ผมก็เปิดดูไปเรื่อยๆ ก็เกิดสะดุดตรงที่ เปลี่ยนเครื่อง 11 ชั่วโมงของสายการบิน Japan Airlines ก็คิดว่าใครจะบ้ารอเครื่องตั้งครึ่งวันเพื่อนจะต่อไปยังอเมริกา ผมก็ละความสนใจไป แต่ไม่นานก็แอบคิดว่า อ่าวแล้วเค้าจะทำทำไมถ้ามันไม่มีอะไรดี   ....นั่นสิเป็นคำถามที่ดี จึงมาหาข้อมูลเรื่องของการ Transit ว่าที่ญี่ปุ่น สามารถให้ออกจาก gate ได้หรือปล่าว

ปรากฏว่า ที่ญี่ปุ่นมีวีซ่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า VISA-Transit อนุญาติให้ออกได้ ซึ่งตอนไปผมไม่มีค่าธรรมเนียมนะครับ แต่ตอนที่เขียนเรื่องนี้เข้าไปเช็คที่เวบกงสุลปรากฏว่าพึ่งจะประกาศค่าธรรมเนียม ยังไงก็อ่านและไปอัพเดทที่เวบกันอีกที (http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm)




หลังจากมั่นใจว่าสามารถออกได้แล้วก็วางแผนจองเลย เพราะอยากเที่ยวญี่ปุ่นก่อนมาอเมริกาอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ คราวนี้เลยรู้สึกว่า 11 ชม.นี้น้อยไปหน่อยนะน่าจะนานกว่านี้




หลังจากจองตั๋วจ่ายตัง ก็อุ่นใจแล้วอย่างน้อยก็ค่อยวางแผนเที่ยวทีหลัง ผมเองก็ชะล่าใจไปหน่อย ทิ้งไว้นานแล้วค่อยมาวางแผนเที่ยว ปรากฏว่ามาเห็นภายหลังว่ามีการเปลี่ยนสนามบินในระหว่างการ Transit ด้วย (จาก Haneda ไป Narita) ซึ่งจากรูปด้านล่างจะเห็นว่ามันไม่ใกล้เลยนะ และที่สำคัญผมหาข้อมูลของการ Transit ไม่เจอบนเวบที่ผมจอง  

ในตรงนี้ผมขอตำหนิตัวเองและ Expedia ซึ่งเป็นเวบที่ผมใช้จอง 
- ประการแรกผมขาดความรอบครอบและความสามารถในการหาข้อมูล ทำให้เกิดปัญหา
- ประการสอง Expedia ไม่มีข้อมูลอะไรเลย เป็นเหมือนแค่ตัวกลางจองอย่างเดียว ผมส่งเมลไปถาม ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆทั้งสิ้น ซึ่งประหลาดมากสำหรับเวบใหญ่ขนาดนี้ และผมส่งเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย 

สุดท้ายผมโทรไปที่สายการบิน Japan Airline เพื่อสอบถามโดยตรง จึงทราบก่อนการเดินทางไม่กี่วันว่าต้องขนย้านกระเป๋าและเสียค่าเดินทางในการ Transit เอง แต่ว่าที่สนามบินจะมี Shuttle Bus ให้ ราคา 3100 เยน หรือ พันบาท




แต่ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีให้ทุกข์ ผมมองหาโอกาสในการท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะเนื่องจากการเดินทางจาก Haneda ไป Narita ทำให้ผมต้องนั่งรถไฟผ่านเมือง ผมถือว่าเป็นโอกาสที่ในการตีตั๋วเที่ยวเดียวไม่ต้องตีกลับ แต่แลกกับกระเป๋า ซึ่งตอนนั้นรู้แล้วว่าต้องเอาไปเต็ม Quota 2 ใบแน่ๆ แล้วแต่ละใบก็ใหญ่มาก ยังไม่รวมเป้สะพายขึ้นเครื่องอีกนะ

จากประสบการณ์ที่เคยไปญี่ปุ่นด้วยตัวเองก็คือ ผมต้องหาข้อมูลขนาดและราคา Locker ฝากกระเป๋า และสอดคล้องกับขนาดที่เอาขึ้นเครื่องได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะสอดคล้องกันอยู่แล้ว ผลปรากฏว่าไม่มีปัญหา ผมต้องใช้สองตู้ ขนาดใหญ่และขนาดกลาง







ก็เหลือแค่วางแผนการเดินทาง ซึ่งจังหวะนี้ไม่ขอวางแผนละ เพราะไม่ทัน และผมเองมีเรื่องต้องเตรียมอีกเยอะ อย่างมากก็เที่ยวเอาใกล้ๆได้แหละ เพราะเราไม่รู้จะลากกระเป๋าขนาดใหญ่ไปได้ไกลแค่ไหน


 วันเดินทาง
เพียงไม่กี่อึดใจ ก็เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Haneda ผมไม่เคยลงที่นี่มาก่อน เลยแปลกตาไปบ้าง แต่ไม่ยากเกินที่จะดำเนินการต่อ ผมตรงไปหาข้อมูลจาก Information ของสนามบิน แต่ไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก จึงเลยมาทาง Information ของรถไฟ ซึ่งถึงแม้การพูดภาษาอังกฤษของเจ้าหน้าที่และผมจะเป็นปัญหาบ้างแต่เค้าก็ยินดีช่วยเต็มที่   ผมได้ข้อมูลมาคร่าวๆจากการบอกเงื่อนไขของผม ว่าผมมีเวลา 11 ชม. อยากเที่ยวนะแต่มีสัมภาระ อยากฝากไว้ที่สถานีสักที่ที่จะไปเอาไม่ลำบาก เจ้าหน้าที่เค้าคิดพักนึง ก็เสนอตัวรถไฟให้ผมสองตัวด้วยกัน
- ตัวแรก เป็นตั๋วเดินทางออกจากสนามบิน Haneda ราคาราว ๆ 800 เยน ไปลงที่สถานี Oshiage ซึ่งเป็นจุดที่มีสถานที่สำคัญคือ Tokyo Skytree ให้ฝากกระเป๋าไว้ที่นั้น และใช้จุดนั้นเป็น Center
จากนั้นใช้ตั๋ววันอีกใบหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้งานได้เฉพาะไลน์ที่เค้ากำหนดเพื่อเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ น้่นคือ วัด Asakusa  และใกล้เคียง ซึ่งเจ้าหน้าบอกเลยสามารถไปได้ไกลแค่ไหน และได้สูงสุดกี่สถานที่ เพื่อจะกลับไปเอากระเป๋าและให้ทันขึ้นเครื่องที่สนามบิน Narita



จะบอกว่าอากาศตอนขึ้นมาหนาวมากๆ เหมือนกับเป็นการเตรียมพร้อมก่อนไปเจออากาศหนาวที่อเมริกาเลย ช่วงที่ไปถึงเป็นช่วงเช้า เลยไม่ค่อยมีคนเท่าไร และเช้าวันจันทร์ด้วย




จากนั้นผมก็ดำเนินการตามแผนคือเก็บกระเป๋าและเดินเล่นในอาคารแถวนั้น พอเริ่มปรับความคุ้นเคยได้ จึงเดินทางไปไหว้พระที่วัด Asakusa ซึ่งผมเคยไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนั้นมีการปิดปรับปรุงเลยเข้าไปข้างในไม่ได้







ในระหว่างที่เดินทางในวัด Asakusa ท้องก็เริมหิว เลยพยายามมองหาอาหารอร่อยๆแถวนั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับตัวผมเอง เพราะละแวกนั้นถึงจะเริ่มมีร้านเปิดแล้ว แต่ว่าร้านเหล่านั้นเป็นร้านขนมไปเกือบหมด  ด้วยความที่ว่าไม่ไหวแเล้วค่อนข้างหิวเหลือเกิน ก็เลยพยายามมองหาร้านขนมที่น่าสใจ ก็ไปสะดุอยู่ร้านหนึ่งซึ่งอยู่ในซอก มีเด็กนักเรียนและคนทำงานต่อคิวยาวประมาณหนึ่ง 

ผมเชื่อในตัวเด็กนักเรียนนะ โดยเฉพาะสาวๆ เพราะเค้าต้องรู้ว่าร้านไหนโอเคอยู่แล้ว จึงมายืนต่อคิวซื้อ




หอม รสชาติอร่อย กรอบ มีเกล็กน้ำตาล แต่สำหรับผมมันต้องกินกับกาแฟดำร้อน แต่ ณ. จุดนั้นไปกดตู้ชาเขียวเย็นที่นั้นเอา ซึ่งรสชาติก็ขมเหมือนเดิมเลย


หลังจากไหว้พระ ทำบุญ อิ่มท้องแล้วนั้น ผมก็เดินทางไปยังย่าน Akihabara ซึ่งเป็นจุดที่ผมไม่ได้ไปในคราวก่อน และอยากไปดูเครือ่งใช้ไฟฟ้าบางอย่างด้วย แต่ไป ๆ มา ๆ มันไม่น่าสนใจอีกต่อไป เมื่อผมไปเจอร้านราเมงแนะนำที่ชื่อ Jankara Ramen 

ด้วยความที่ชื่นชอบ Ramen ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แล้วคนเขียนเชียร์อย่างนี้ ไม่มี Internet ติดตัวก็จะหาให้เจอจนได้ สรุปคือต้องถามน้องผู้หญิงที่แต่งตัวเป็น Maid เชิญชวนเข้าร้านอาหารของเค้า แต่ผมก็หยาบคายไปถามหาร้านอื่นเสียนั่น จนกระทั่งใกล้ ๆ ถึงก็ไปถามเด็กวัยรุ่นแถวนั้นอีกทีหนึ่ง เด็กคนนั้นดีมาก พาผมเดินไปหาที่ร้านซึ่งเลยมาหลายช่วงตึกเหมือนกัน และยังต่อคิวเป็นเพื่อนผมอีก จากนัน้นก็ช่วยแนะนำให้ว่าอันไหนดี เพราะว่าเค้าเคยกิน ผมเกรงใจมาก เลยชวยเค้ากิน เค้าบอกไม่เอาเค้าอิ่มมาก พอถึงคิวเค้าก็ให้ผมเข้าไปกิน และเค้าก็แยกตัวกลับบ้านไป


ผมสั่งชุดที่แนะนำที่สุดของที่นั้น ปรากฏว่าอร่อยครับ เหมือน HAKATA Ramen ที่เคยกิน แต่ว่าเครือ่งต่าง ๆ ก็มาเต็มที่กว่า กินจนอิ่ม มีความสุขเตรียมตัวเดินทางไปยังอเมริกาต่อ

จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่ Tokyo Skytree เพื่อไปเอากระเป๋าและเดินทางต่อไปยังสนามบินนานาชาติ Narita ซึ่งไกลมาก ๆ ห่างไปจากเมืองจนผมคิดว่าไปผิดทางแล้ว แต่ก็ไปถึงก่อนเวลาหลายชั่วโมงเหมือนกัน แต่ก็มีเวลาให้ละลายเงินเยนไปกับขนมที่สนามบิน เพราะว่าอีกนานกว่าผมจะมีโอกาสได้กลับมา

อ่อ ก่อนมาผมไม่ได้แลกเงินเยนมาเลย เพราะมีเงินเหลือจากการที่ไป Fukuoka เมื่อปีที่แล้วอยู่ 4-5 พันเยนก็คำนวนแล้วก็แทบจะหมดพอดี






 จากนั้น ก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง การเดินทางครั้งใหม่ของผมก็เริ่มขึ้นแล้ว ไว้พบกันที่อมริกาครับ





Post a Comment

0 Comments