ทำไม เกาหลี ตอน 2 : ที่เกาะนามิ ไม่มีอะไรเลย (เหรอ)



เกาะนามิ 
เกาะนามี (ฮันกึล:남이섬, นามีซ็อม) ตั้งอยู่ที่เมืองชุนช็อน จังหวัดคังว็อน ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออก 63 กิโลเมตร มีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยน้ำ เป็นเกาะกลางแม่น้ำฮัน ซึ่งเกิดจากการสร้างเขื่อนช็องพย็อง ผมรู้จักเจ้าเกาะนี่ได้เพราะเรื่องราวของซีรีย์ และภาพยนตร์ที่ใช้เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ ซึ่งจะปรากฏเป็นรูปถ่ายของดาราที่ร้านขายของที่ระลึกบนเกาะ รวมถึงหนังไทยชื่อดังอย่าง "กวน มึน โฮ" ด้วย

ได้ยินคำว่า "นามิ" ภาพในหัวผมคือผู้หญิงตัวเล็กๆที่น่ารัก แต่ฟังข้อมูลที่ได้มากลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง  เพราะ เกาะนามี หรือ นามิ ได้ตั้งชื่อตาม นายพลนามี ที่รับราชการตั้งแต่อายุ 17 ปี บิดาอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์ ส่วนมารดาเป็นเจ้าฟ้าหญิง เขานำทัพกวาดล้างจลาจลในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศได้ทั้งหมด และได้รับตำแหน่งสูงเมื่อยังมีอายุเพียง 26 ปี แต่หลังจากเปลี่ยนรัชกาลใหม่ เขาก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฏ และถูกประหารชีวิตพร้อมกับมารดาและพวกรวม 25 คน ต่อมา หลังผลัดเปลี่ยนรัชกาลใหม่อีกครั้ง ได้มีการพิสูจน์พบว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดล้วนเป็นเท็จ เขาจึงได้รับคืนยศถาบรรดาศักดิ์ดังเดิม [ข้อมูลจาก Wikipedia]



การเดินทางไปเกาะนามิ

จากกรุงโซลไป Gapyeong

โดยรถประจำทาง : ให้ซื้อตั๋วรถประจำทางที่จะไปชุนชอนที่สถานีรถ Sangbong หรือสถานี Dong ไปลงที่สถานี Gapyeong ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง

โดยรถไฟ : ให้นั่งรถไฟสาย Gyeongchun จากสถานี Cheongnyang-ni ไปลงที่สถานี Gapyeong ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที

จาก Gapyeong ไปเกาะนามิ

โดยรถประจำทาง : รถประจำทางวิ่งจากสถานี Gapyeong ไปท่าเรือเกาะนามิ ตั้งแต่เวลา 06.00 - 21.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที

โดยรถแท็กซี่ : จากสถานี Gapyeong ไปท่าเรือเกาะนามิ ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที

การจะข้ามไปเกาะนามิ ต้องเสียค่าเข้าเกาะด้วยนะคะ รวมค่าเรือไปกลับก็คนละ 5 พันวอน

[ข้อมูลจาก  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=97378 ]




            ก่อนข้ามเรือไปบนเกาะนามินั้น จะพบป้าย Naminara Republic เป็นระยะๆ จากข้อมูลที่ได้รับมาคือเค้าต้องการสร้าง Gimmick เพื่อให้เสมือนว่าข้ามมาเที่ยวรัฐๆ หนึ่งที่เป็นเอกเทศออกมาจากเกาหลี และตั๋วเรือข้ามฟากและตั๋วเข้าชมเกาะจะเขียนเป็น Visa เสมือนว่าเราเดินทางออกจากประเทศเกาหลีแล้วจริงๆ 




ในช่วงที่ผมเดินทางมา หลังจากนั้นอีก 2-3 วันก็มีข่าวโศกนาฏกรรมของเรือเฟอรรี่ที่เกาหลีล่ม ทำให้เกิดการสูญเสียเยาวชนผู้เป็นอนาคตของชาติไปหลายร้อยคน ที่เกาะเซจู 




           สภาพอากาศเย็นมาก ก่อนลงเรือผมสังเกตเห็นหอคอยเพื่อโหนสลิงข้ามไปยังเกาะ ซึ่งสูงมากๆ ในใจก็คิดว่าคนข้ามนี่เค้าคงต้องเบื่อวิธีข้ามเรือแบบธรรดาเป็นแน่ๆ มันหวาดเสียวพอสมควรเลยนะ


ไหนใครว่าเกาหลีไม่มีอะไร
           จากการเริ่มต้นของตอนก่อนหน้า หลายๆคนที่ชื่นชอบเกาหลี คงอาจจะไม่ชอบแนวความคิดผม หรืออาจจะปิด Blog ผมไป ไม่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ ไม่เป็นไรครับ ขอเล่าต่อว่า ตั้งแต่ถึงเกาะนี้ แนวความคิดผมเกี่ยวกับ เกาหลี เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ภาพของประเทศที่มีของปลอม การถูกสร้างขึ้น หรือประเทศของการตามรอยละคร หายไปจากความคิดผมทีละน้อยจนเกือบหายไปหมด

           ทันทีที่ผมเดินออกจากเรือ ผมเห็นกลุ่มนักเรียนน่าจะชั้นมหาวิทยาลัย กำลังสร้างสรรค์งานศิลปะจากขวดแก้ว เพื่อสร้างงานประติมากรมขึ้นบนเกาะ  มันเป็นภาพที่หายากเหมือนกันนะ ที่นักเรียนนักศึกษาจะสามารถมาทำแบบนี้ที่แหล่งท่องเที่ยว ในไทยอาจจะเห็นมีบ้าง แต่คงไม่ครึกครื้นเท่าที่นี่ ถ้าจะบอกว่านี่คือการจัดฉาก ก็เป็นการจัดฉากที่ยิ่งใหญ่เป็นเป็นแนวทางต้นแบบที่ดีจริงๆ 

           เกาะมีความคึกครื้นในตัวของมันเอง ภาพเกาะนิ่งๆ ไม่มีอะไรในหัวผมหายไปเมื่อได้ยินเพลงคลาสสิคที่ถูกบรรเลงโดยวงดนตรีสดๆ ด้านหน้าเกาะ เสมือนกับการตอนรับนักท่องเที่ยวทุกท่านที่เดินทางมาถึงในเกาะ ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้คือเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่เรากำลังจะก้าวเดินสำรวจ

บนเกาะแห่งนี้มีจักรยานให้เช่าสำหรับปั่นรอบๆเกาะ แต่เนื่องจากเรามาทัวร์ การปั่นรอบๆเกาะดูจะใช้เวลามากกว่าเวลาที่ทัวร์มีให้ เฉพาะการรอคิวก็ไม่พอแล้ว เนื่องจากวันที่มาตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ประชากรชาวเกาหลีก็เยอะอยู่แล้ว ยังมาเจอนักท่องเที่ยวที่มากอีก
ราคาค่าเช่าจักรยานอยู่ที่ประมาณ 5,000 วอน ต่อชม. มีทั้งแบบปกติ และ 2, 3 และ 6 ที่นั่ง




เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยงานศิลปะ และดนตรี 
           ทุกการเคลื่อนไหวของที่นี่ เต็มไปด้วยกิจกรรมและพื้นที่ให้แสดงออกมากมาย ดูๆไปผมรู้สึกอิจฉาทุกคนที่มีส่วนร่วมบนเกาะนี้ ผมไม่รู้ว่าหลายอย่างที่ผมเห็นบนเกาะนี่จะอยู่คงทนถาวรแค่ไหน แต่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ เวลาที่มีให้ในการเดินชมเกาะ ทำให้ผมต้องเลือกที่จะเดินเร็วๆเพื่อให้เห็นทุกอย่างเยอะที่สุด แต่ไม่สามารถเข้าไปเห็นรายละเอียดใดๆที่นี่ได้เลย

           ดอกพดกรด บานทั้งเกาะ บวกกับทิวของต้นสนที่สูงลิ่ว ทำให้ทุกมุมสามารถกดชัตเตอร์ได้ไม่หยุด เสียแต่ว่ามีคนมากๆเดินไปมาบนเกาะ ทำให้รู้สึกว่าต้องหาจังหวะนิดนึง โดนเฉพาะจุดสำคัญๆที่คนมักจะไปถ่ายรูปกัน

           บรรยากาศออกแนวโรแมนติคและเหงาๆนิดนึง หลายคนมาเป็นคู่ ผมก็ได้แต่หยิบกล้องกับเพื่อนเก็บภาพบรรยากาศไปแทน กลีบพดกรดร่วงโรยเต็มพื้น 

           เพื่อนผมมีความเชื่อในการกินดอกซากุระแล้วขอพร มันก็เป็นเรื่องไม่น่าเสียหาย เลยเด็ดมากินแล้วขอพรไปหนึ่งข้อ เหตุการณ์นี้คุ้นเคยมากๆกับการขอพรจากการดื่มน้ำจากน้ำตกที่วัด คิโยมิสึ เดระ ที่เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น อะไรเป็นความเชื่อถ้าทำได้ไม่เสียหายก็ขอหน่อยละกัน ว่าแต่เจ้าเค้าฟังไทยรู้เรื่องหรือปล่าวเนี่ย





           หลังจากที่เดินมาเป็นเวลาหนึ่ง ท้องก็เริ่มที่จะหาของกินมาลองหน่อย ก็มาสะดุดกับแถวของไส้กรอกหมูที่นี่ ที่มีคนต่อจำนวนนึงเลย เยื้องๆไปหน่อยก็จะมีร้านขายพวกซาลาเปานะ มีเตาดิน เป็นเรื่องเป็นราวเลย หรือใครที่อยากนั่งกินอะไร ก็มีเต็มไปหมด


           ไส้กรอกที่นี่เนื้อแน่นมากๆ ออกแนวพวกไส้กรอกญี่ปุ่นที่กัดไปรู้สึกของเนื้อหมู ไม่ใช่แป้ง ด้วยองค์รวมผมคิดว่าผ่านนะสำหรับการกินเล่นๆ
จากนั้นก็ได้ลองไก่ย่างที่อยู่ตามร้านแห่งหนึ่ง มีคนต่อคิวเยอะเช่นกัน และดูท่าทางน่าอร่อย ซึ่งหลังจากสั่งมากินแล้วก็รู้สึกดีกับมันเช่นกัน ทำให้ผมสรุปได้อย่างนึงว่าที่คนเค้าต่อคิวกัน แสดงว่ารสชาติมันต้องถูกกรั่นกรองแล้วแน่ๆ 




ซาลาเปาที่ว่า

ร้านรวงเต็มไปหมด




มุมนี้เป็นมุมที่น่าสนใจ เพราะเป็นมุมนั้งพักที่มีหนังสืออ่านเล่น รวมไปถึงหนังสือการตูนด้วย

เห็นหมีไหม


นายพลนามิ

บอร์ดแสดงจุดสำคัญต่างๆบนเกาะ ที่ทำมากจากวัสดุที่น่าสนใจกว่าการออกแบบกราฟฟิคแล้วพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีของหมึกเสียอีก


อาหารเย็น
          จากนั้นก็เดินทางกลับฝั่งเพื่อไปกินอาหารเย็นเป็นการปิดท้ายเรื่องราวต่างๆวันแรกที่เกาหลีนี้ ด้วยหมูบูลโกกิ มันพลาดตรงที่โต๊ะผม มีแค่ผมกับเพื่อนเท่านั้น แต่ด้วยปริมาณที่เตรียมไว้คือ 4 คน ทำให้ผมกับเพื่อนกินกันพุงกางเลย 

          กิมจิ แต่ละร้านมีรสชาติไม่เหมือนกัน สูตรใครก็สูตรมัน ทำให้การกินกิมจิค่อนข้างไม่น่าเบื่อเท่าไร และเป็นตัวตัดรสชาติของอาหารที่ดีอย่างหนึ่งเลย  ส่วนสาหร่าย ที่นี่อร่อยดีนะ เห็นว่าเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ซึ่งทัวร์จะพาไปซื้อในวันหลังๆกัน

          หน้าร้านมีขายสตอเบอรี่ด้วย ลูกค่อนข้างใหญ่เลย ไกด์บอกว่าเราจะซื้อกินก็ได้ หรือว่าจะไปรอซื้อที่ส่วนสตอเบอรี่ก็ได้ ซึ่งสวนก็แน่นอนว่าสดกว่า เลยคิดว่าเก็บตังค์ไว้ซื้อทีเดียวดีกว่า เห็นว่าเป็นของฝากที่ดีสำหรับช่วงเวลานี้ด้วย



Post a Comment

0 Comments