ทำไม เกาหลี ตอน 1 : ไม่คิดจะไปเกาหลี


           หลายปีที่ผ่านมา นอกจากผู้คนที่เสพวัฒนธรรมเกาหลี ดูซีรี่ย์ ละคร หรือเพลงเกาหลี แล้ว ไม่มีใครที่ไปเกาหลีมาแล้วบอกว่าประทับใจเลย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าประเทศนี้ปลอมทั้งประเทศ หลากหลายคำพูดก้องตลอดมาในหัวผมเลย ทำให้ประเทศนี้เป็นประเทศท้ายที่จะอยู่ในลิสท์ที่ผมจะเลือกเดินทาง เพราะหลายๆอย่างผมก็มีความเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

           การตัดสินใจเลือกที่จะเดินทางไปเกาหลีครั้งนี้ เกิดจากการผิดพลาดในอะไรบางอย่างในการวางแผน พูดง่ายๆ คืออกหักจากความคิดตัวเอง เพราะเป็นปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้ และประเทศนี้เป็นประเทศที่อยู่ในลิสท์ที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ โดยที่ค่าใช้จ่ายตอนแรกสำหรับการเดินทางช่วงก่อนหยุดสงกรานต์คือประมาณ 19,000 บาท แต่ไม่มี บุฟเฟท์ขาปู และเป็นช่วงที่ไม่มีซากุระ กับ 29,000 บาท เพื่อแลกกับการเดินทางช่วงสงกรานต์ และได้ทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมา  

           คงไม่ต้องสืบว่าผมเลือก Option แรกแน่นอน เพราะ ขาปู ไม่ใช่สิ่งที่ผมปราถนาเท่าไร และซากุระ ผมยังคงคาดหวังไว้กับการเดินไปทางไปดูที่ญี่ปุ่น(เท่านั้น) และแน่นอน 2 อย่างนี้ถ้ามูลค่ามันเป็นหมื่น ผมเลือกที่จะตัดมันออกไปทันที




การผิดหวังที่ยังไม่จบไม่สิ้น
           ของดีราคาถูก ผมไม่สามารถแย่งชิงมันมาได้ เมื่อทุกอย่างถูกล็อคไว้แล้ว และผมเปลี่ยนแผนไม่ทัน ทำให้ผมต้องเดินทางในช่วงสงกรานต์ และค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ พุ่งไปยังตัวเลขที่ผมเกือบรับมันไม่ได้    ..................   29,000 บาท

           
           ที่เกาหลี เวลาต่างกับเรา 2 ชม. ช่วงเวลาที่ผมไปค่อนข้างเป็นช่วงเวลาๆปลายๆของฤดูหนาวแล้ว ภายในอาคารสนามบินอินชอน ค่อนข้างอุ่น แต่พอเดินออกไปข้างนอกจะรับรู้ถึงอากาศหนาวอย่างเต็มที่ ท้องฟ้าที่นี่ยังไม่เปิดสักเท่าไร ถ่ายอะไรมาไม่ค่อยสวย จนถึงเวลานี้ผมยังงงๆอยู่เลย ว่า


มาเกาหลีกับเพื่อนผู้ชาย เพียง 2 คน ทำไม !!!



Provence Village 
           เป็นที่แรกที่ผมเดินทางมาถึง หมู่บ้านสไตล์ฝรั่งเศส มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเท่าไร แต่รู้สึกเหมือนกับมันยังไม่ใช่ยังไงไม่รู้ ราวกับเค้าพาผมมาปล่อยที่ คอมมิวนิตี้มอลล์ สไตล์อิตาลี สักที่ในเขาใหญ่ คือมันหลอกๆ ยังไงไม่รู้ แต่น่าจะทำให้คล้ายกว่าเมืองไทยอย่างหนึ่ง คือ สภาพอากาศ

           ด้วยลักษณะการแต่งร้าน บวกกับเพลงดนตรีที่เร้าอารมณ์ฝรั่งเศษ ทำให้ผมเกือบเคลิ้มไปกับมัน ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือกาแฟอุ่นๆสักแก้ว เพื่อจะดูสิว่า กาแฟในหมูบ้านฝรั่งเศษจะมีรสชาติอย่างไร





           ดอกซากุระ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเห็นดอกนี้ ตัวจริงมันตอนแรกๆก็ผ่านๆตานะ แต่หลังจากได้ดูมันใกล้ๆ บวกกับสภาพอากาศหนาวกำลังดี ผมรู้สึกเริ่มประทับใจกับมันขึ้นมาบ้างละ ตอนนี้ส่วนเกินจากงบ 19,000 บาทที่ตั้งไว้ เริ่มมีความคุ้มค่าอย่างน้อยก็หลักพันขึ้นมาบ้างแล้ว

           มีความรู้ใหม่ที่ได้จากที่นี่คือ ต้นไม้แบบนี้ ที่ญี่ปุ่นเรียก ซากุระ แต่ที่เกาหลีเค้าเรียกว่า ดอกพดกรด  เห็นไกด์บอกว่า ที่เกาหลีห้ามเรียก ซากุระ เด็ดขาด เพราะเค้าไม่ยอมกัน มันก็เป็นมุมๆนึงที่สะท้อนถึงความไม่ถูกกันในอดีต แต่สิ่งที่สังเกตเห็นทางกายภาพอย่างหนึ่งของต้นนี้คือ พดกรด ของเกาหลี จะออกใบสีชมพู แต่ซากุระ ของญี่ปุ่น จะออกสีขาวมากกว่ามันก็สื่อสารออกมาคนละอารมณ์กัน










อากาศหนาวๆจะกินทำไมไอติม
           มันก็แปลกดีนะ เจ้าโคนไอศครีมแบบนี้ บ้านเราก็เป็นโคนเล็กๆสั้นๆ แต่ที่นี่มีให้เลือกหลายราคา ตามความยาวของโคน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเค้าจะเอาไอศครีมใส่เข้าไปยังไง ก็เลยยอมซื้อมาลองกินดู และนี่เป็นการจ่ายเงิน "วอน" ครั้งแรกของชีวิตผม
สังเกตว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนไทยถูกพามาแวะบ่อยเสียจนมีป้ายชื่อร้านเป็นภาษาไทยติดอยู่ ด้วย Font Tahoma บวกกับ stoke สีน้ำเงิน ซึ่งไม่สวยเอาเสียเลย  

           เพราะต่างภาษาทำให้เราไม่สามารถพิจารณาความสวยงามของ Font ได้ดีเท่าเจ้าของภาษา คงเหมือนกับเราจะเลือก Font สักอย่างเพื่อทำป้ายภาษาเกาหลี เราอาจจะเลือกได้เห่ยกว่าคนเกาหลีมากๆแน่ๆ



ฝรั่งเศส ต้องมีขนมปัง
           นอกจากกาแฟแล้ว ผมก็มีเป้าหมายอีกอย่างนึงที่ต้องไปลองชิมให้ได้ คือขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสที่นี่ มันมีร้านอยู่ร้านนึงที่ดูจากภายนอกดูดี และมีคนค่อนข้างพลุกพล่าน ที่สำคัญคือมีกาแฟขายด้วย ด้วยความง่วงนอนผมจึงเดินเช้าไปสั่งกาแฟและเดินดูขนมปังของที่นี่ไปพลาง

           กาแฟที่ผมสั่ง ชื่อมันคือ herbal ผมก็งงมันคืออะไร แต่การมีสมุนไพรในกาแฟแบบที่มันก็อาจจะดีต่อสุขภาพของเราด้วย ยิ่งเดินทางแล้วนอนน้อยๆมาอยู่ 


           ในระหว่างรอกาแฟ ผมกับเพื่อนก็สังเกตเห็นคนต่อคิวกันเกือบ 20 คน เพื่ออะไรบางอย่างด้านหน้า กะจากสายตาแล้วเหมือนทุกคนไม่ได้มุ่งเป้าเพื่อไปจ่ายตัง แถวนี้แยกออกจากคนที่ต่อคิวจ่ายตังหน้าเคานเตอร์อย่างสิ้นเชิง มันคืออะไรทำไมเค้าถึงต่อแถวกัน

           สิ่งที่เค้าต่อคิวมันคือสิ่งที่ส่งกลิ่นมาตลอดที่ผมก้าวเดินเข้ามาในร้าน มันคือขนมปังกระเทียมนั้นเอง ซึ่งตอนแรกที่ไม่เห็นเพราะว่า ขนมเพิ่งออกมาจากด้านหลังของร้านไม่ทันหายร้อน ก็จะถูกคนที่ยืนต่อคิวนั้นจับจองไปทันที กี่ถุงๆ ที่ออกมา ไม่เพียงพอกับคนที่เราต่อติวซื้อเลย ทำให้ผมกับเพื่อนค่อนข้างสนใจและมองไปยังเป้าหมายใหม่ที่ร้านแห่งนี้





กาแฟที่ได้ มันคือกาแฟมินท์
           ซึ่งกาแฟใส่มินท์ คือกาแฟที่ผมไม่โปรดปราณเอาเลย ผมว่ารสมันไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร จาก Herbal ที่นี่มันคือ มินท์ บ้านเราทำให้ผมผิดหวังเอามากๆ แต่ด้วยราคาที่ขาย คิดเป็นเงินไทยแล้วแพงกว่ากาแฟร้อน Stabucks บ้านเราเสียอีก ทำให้ผมต้องพยายามละเลียดมันลงไป ทั้งที่ร้อนๆยังนั้น ใจก็ได้แต่หวังจะฝากท้องไว้กับ ขนมปังกระเทียมอันส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้านนั้น......

          ขนมปัง อร่อยทีเดียว แต่ด้วยความที่มันมีเยอะแล้ว ผมกับเพื่อนจึงไม่สามารถกินหมดได้ ต้องฝากไกด์ให้ช่วยแบ่งปันความอร่อยให้กับเพื่อนๆในทัวร์ด้วย




          หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปยัง Paju Premium Outlet ซึ่งเป็น Outlet ที่ค่อนข้างใหญ่มาก และอยู่ห่างไกลออกไป ที่นี่มีของแบรนด์เนมมากมาย หลายๆคนเลือกที่จะเริ่ม Shopping รองเท้ากันที่นี่ ซึ่งที่แนะนำก็น่าจะเป็นพวกรองเท้ากีฬา เช่น New Balance หรือ NIKE ใครที่ทำการบ้านเรื่องของราคามาจะค่อนข้างเพลิดเพลินกับการเลือกสินค้าที่นี่      ส่วนผมไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไรที่นี่เลยก็ได้แต่เดินดูตามเรื่องตามราวไป ตั้งใจจะซื้อของเท้าไว้ขี่มอเตอไซค์สักคู่นึงแต่คำนวนเป็นเงินไทยผิด ทำให้ซื้อไม่ทัน สุดท้ายได้เสื้อหนาวราคา 300 บาทมาแทน เนื่องจากดูท่าทางแล้วเสื้อธรรมดาที่เอามาจะไม่เพียงพอต่อสภาพอากาศกลางคืนที่นี่เท่าไร

จากทัวร์ปล่อยให้เดินที่นี่ประมาณ 45-60 นาที ซึ่งถ้าเป้าหมายการซื้อชัดเจนค่อนข้างจะเพียงพอ แต่สำหรับผมไม่เพียงพออะไรเลย พอมานึกเอะใจว่าเค้ามากันที่นี่เพื่อมา Shopping กันเหรอ







อาหารเที่ยง  orginal เกาหลี

            ด้วยความที่เดินเยอะพอสมควรในช่วงเวลาที่จำกัด ท้องก็เริ่มจะเดินตาม มื้อแรกฝากท้องไว้กับร้านชาบู ซึ่งที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นหมู เพราะเนื้อค่อนข้างแพงสำหรับที่นี่ ดังนั้นการมาทัวร์แทบจะไม่ต้องกลัวเรื่องการกินเนื้อ หรือมีเนื้อมาปะปนกับอาหารหลักเลย เพราะทัวร์ไม่จ่ายเพิ่มแน่ๆ

หมูชาบูที่เป็นแบบ บุฟเฟต์ ซึ่งแน่นอนจะต้องมีกิมจิ และสาหร่ายเป็นเครืองเคียงยืนพื้น ที่นี่ ผมพยายามไม่กินแบบปรุงรส เพราะอยากซึมซับรสชาติอาหารที่นี่ ซึ่งเคยทำไม่ได้ตอนไปเนปาลทีนึง เพราะรสชาติไม่ถูกปากเอามากๆ แต่อาหารเกาหลีน่าจะคุ้นชินกว่าเยอะ ทำให้การกินแบบไม่ใช้นำ้จิ้มค่อนข้างจะสบายสำหรับผม ส่วนคนอื่นก็มีน้ำจิ้มไทยๆที่ไกด์เตรียมมาช่วยเหลือกันไป






Post a Comment

0 Comments